“สมเด็จพระสังฆราช” โปรดให้ “สมเด็จชิน” ปฏิบัติหน้าที่แทนพระองค์ในพิธีเปิดหอพุทธปาพจนบดีอนุสรณ์ (คลิป)

วันที่ 2 ก.ค. 65  เวลา 09:30 น. ที่วัดถ้ำสุขเกษมสวรรค์ ตำบลแม่ถอด อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระบัญชาโปรดให้เจ้าประคุณ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราชมาปฏิบัติหน้าที่แทนพระองค์ในพิธีเปิดหอพุทธปาพจนบดีอนุสรณ์ และเปิดโครงการคืนธรรมชาติสู่ธรรม ปีที่ 5 ในพระสังฆราชูปถัมภ์ โดยมี พระเทพวัชรเมธี ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดถ้ำสุขเกษมสวรรค์ รองเจ้าคณะภาค 6 – 7 (ธรรมยุต) พระเทพเจติยาจารย์ เจ้าคณะภาค 4 – 5 (ธรรมยุต) วัดโสมนัสราชวรวิหาร พระจินดารัตนาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดลำปาง วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม พระครูวิสุทธิศีลคุณ เจ้าคณะจังหวัดลำปาง – แพร่ (ธรรมยุต) วัดสามัคคีบุญญาราม พระครูปิยสีลโสภณ เจ้าอาวาสวัดเชตวัน พร้อมด้วยพระมหาเถระ พระเถระ พระสังฆาธิการ คณะสงฆ์ และสามเณร ถวายการต้อนรับ โดยมี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ดร. วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ร่วมพิธี โดยมี นายจำลักษ์ กันเพ็ชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง ปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายศิริวัฒน์ บุปผาเจริญ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นางธิติพร จินดาหลวง ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดลำปาง นางวรรณวิไล กันเพ็ชร์ รองประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดลำปาง หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ นางสาวตวง​รัตน์​ โล่ห์​สุนทร​ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คุณจิตรี จิวะสันติการ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดลำปาง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประชาชนจิตอาสา และพุทธศาสนิกชนในพื้นที่จังหวัดลำปางและจังหวัดใกล้เคียง ร่วมในพิธีเป็นจำนวนมาก

การนี้ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ จุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระศรีศากยบุตรพุทธโคดม ประธานอุโบสถ และจุดธูปเทียนบูชาหน้าถ้ำสุขเกษมสวรรค์ และเข้าสู่บริเวณพิธีภายในหอพุทธปาพจนบดีอนุสรณ์ จากนั้น พระมหาเถระ และนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ถวายสักการะ เจ้าประคุณสมเด็จฯ เจิมพระรัศมี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เชิญพระรัศมี ถวายแด่เจ้าประคุณสมเด็จฯ จากนั้น เจ้าประคุณสมเด็จฯ เจิมและปิดทองเศวตฉัตร แล้วจับสายสูตรเพื่อเชิญเศวตฉัตรถวายแด่พระพุทธโคดมแล้วจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธโคดม จุดเครื่องทองน้อยถวายสักการะอดีตเจ้าอาวาสวัดราชพิธสถิตมหาสีมาราม และพระเถราจารย์ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดกรวยถวายสักการะ เบื้องหน้าพระรูป สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระสงฆ์สมาทานศีล จบแล้ว นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นำสาธุชนกล่าวคำถวายพระพุทธโคดม คำถวายหอพุทธปาพจนบดีอนุสรณ์ และคำถวายผ้าป่าสามัคคี เจ้าประคุณสมเด็จพิจารณาผ้าบังสุกุล ผู้ร่วมพิธีถวายไทยธรรม กรวดน้ำ พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์อนุโมทนา เป็นอันเสร็จพิธี

สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ประทานสัมโมทนียกถา โดยมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า หอพุทธปาพจนบดีอนุสรณ์ แห่งนี้เป็นสถานที่แสดงน้ำใจ แสดงถึงความกตัญญูกตเวที ของท่านเจ้าคุณพระเทพวัชรเมธี และพุทธศาสนิกชนในพื้นที่ แสดงถึงความเป็นคนดีของคนในสังคม ดังพุทธศาสนสุภาษิตที่กล่าวว่า นิมิตฺตังสาธุรูปานัง กตญฺญูกตเวทิตา อันหมายความว่า ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี ซึ่งสิ่งทั้งหลายที่ทุกท่านได้เห็นนี้ เป็นความซาบซึ้งที่สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะน้อมถวายเป็นพุทธบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นเครื่องบูชาแด่พระพุทธศาสนา เรามาทำความดีด้วยการปฏิบัติ เพื่อที่จะเป็นตัวอย่างให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ให้อนุชนคนรุ่นต่อไปได้เห็นเป็นตัวอย่างว่าบุญกุศลทำอย่างไร การทำความดีทำอย่างไร และการแสดงความกตัญญูกตเวทีทำได้อย่างไร เพื่อจะได้ยึดถือและปฏิบัติตาม สืบทอดกันต่อไป อันเป็นการช่วยกันสร้างคนดีให้เกิดขึ้นในสังคม เพราะสังคมของพวกเรานั้นต้องการคนดี ดังพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ ครั้งที่ 6 ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2512 ความว่า “ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปรกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดีให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้” จึงขอให้ทุกท่านได้ภูมิใจว่า ทุกท่านกำลังนำพาประเทศไทยไปสู่ความสงบเรียบร้อย นำพาประเทศไทยให้อุดมไปด้วยความดี เพราะเมื่อสังคมไทยมีแต่คนดีในบ้านเมือง คนไม่ดีก็จะไม่มีที่ยืนในสังคม และเมื่อสังคมใดเต็มไปด้วยคนดี สังคมนั้นก็จะมีแต่ความสงบร่มเย็น และอุดมไปด้วยความ เจริญรุ่งเรือง เป็นสังคมที่มีแต่ความเอื้ออาทรต่อกัน

พระพรหมวชิรเมธี ถวายรายงานใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า วัดถ้ำสุขเกษมสวรรค์ เป็นวัดราษฎร์ที่มีพระภิกษุจำพรรษามาตั้งแต่พุทธศักราช 2524 ซึ่งเจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อมุพรมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก โปรดประทานพระอุปการะเป็นอเนกปริยาย นับตั้งแต่พระดำริในการก่อสร้างอุโบสถ ทรงอุปถัมภ์การสร้างพระพุทธปฏิมาประธานอุโบสถ และประทานถวายนาม “พระศรีสักยบุตรพุทธโคดม” อีกทั้งเสด็จมาทรงเป็นประธานในพิธีตัดหวายลูกนิมิตอุโบสถ เมื่อปี 2553 และในปี 2560 โปรดประทานพระอนุญาตให้ก่อสร้าง “หอพุทธปาพจนบดีอนุสรณ์” เพื่อถวายเป็นอาจาริยบูชาแด่ เจ้าประคุณสมเด็จเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ยุคที่ 5 คือ เจ้าประคุณ สมเด็จพระพุทธปาพจนบดี (จินตากรเถร) ผู้เป็นพระกรรมวาจาจารย์ของพระองค์ ผู้มีคุณูปการแก่วัดถ้ำสุขเกษมสวรรค์มานับตั้งแต่การก่อตั้งวัด และเพื่อประโยชน์แก่การจัดแสดงศิลปวัตถุ พุทธศิลปสำคัญ ซึ่งเป็นหนึ่งอัจฉริยภาพอันเป็นที่ประจักษ์ของเจ้าประคุณ สมเด็จพระพุทธปาพจนบดี รวมถึงทรงรับโครงการคืนธรรมชาติสู่ธรรม ไว้ในพระสังฆราชูปถัมภ์ เพื่อปลูกฝังและสร้างเสริมแนวคิดในการปลูกป่า อนุรักษ์พื้นที่สีเขียว และพัฒนาวัตให้ดำรงอยู่คู่กับธรรมชาติอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ได้ทรงเป็นประธานการหล่อพระพุทธรูปศิลปะเชียงแสนประยุกต์สุโขทัยและรัตนโกสินทร์ พร้อมประทานถวายนามว่า “พระพุทธโคดม” ประดิษฐานเป็นพระพุทธปฏิมาประธานของหอ และโปรดให้สร้างอักษรนาม พทจ. ของเจ้าประคุณ สมเด็จพระพุทธปาพจนบดี เพื่อประดิษฐานหน้าบันอาคารเพื่อเป็นอาจาริยานุสรณ์อีกด้วย และเนื่องในมงคลสมัยที่ทรงเจริญพระชนมายุ 95 พรรษา 26 มิถุนายน 2565 พุทธศาสนิกชนทั้งปวงพร้อมเพรียงกันมุ่งมั่นรับภารธุระสนองพระนโยบายและแนวพระตำริในการดูแลรักษาและพัฒนาวัดถ้ำสุขเกษมสวรรค์ ให้สถิตสถาพรเป็นศูนย์กลางชุมชน เป็นรมณียสถานและเป็นบุญสถานอันเป็นที่พึ่งทางกายและทางใจของมหาชนทั้งหลายสืบไป

จากนั้น นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นำผู้ร่วมพิธีเปิดกรวยถวายราชสักการะ เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเจ้าประคุณ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เมตตาประทานพันธุ์กล้าไม้ ให้แก่หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนจิตอาสา เพื่อนำไปปลูกต้นไม้ตามโครงการคืนธรรมชาติสู่ธรรม ปีที่ 5 ในพระสังฆราชูปถัมภ์

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า โครงการ “คืนธรรมชาติสู่ธรรม” จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2561 โดยความร่วมมือร่วมใจ ของพุทธบริษัทวัดถ้ำสุขเกษมสวรรค์ ร่วมกับหน่วยงานราชการในพื้นที่จังหวัดลำปาง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนราชการอำเภอเถิน องค์การบริหารส่วนตำบลแม่ถอด กรมป่าไม้ กรมที่ ดิน ชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดลำปาง สภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ รวมทั้งหน่วยงานเอกชนต่าง ๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อน้อมถวายเป็นพระกุศลแด่เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมายุ 91 พรรษา และได้รับประทานพระอนุญาตให้สานต่อโครงการเป็นลำดับมากระทั่งปีนี้เป็นปีที่ 5 ซึ่งได้รับประทานพระเมตตาจากเจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช โปรดรับโครงการไว้ในพระสังฆราชูปถัมภ์ ซึ่งพี่น้องสาธุชนพุทธบริษัทต่างสำนึกในพระเมตตาคุณอย่างหาที่สุดมิได้ และขอประทานพระวโรกาสถวายพระพรเนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 95 พรรษา ให้ทรงเจริญสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคล และทรงเจริญงอกงามไพบูลย์ในพระสัทธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นนิตยกาล

 “ในปีที่ผ่านมา โครงการคืนธรรมชาติสู่ธรรมได้มีการดำเนินการขุดสระน้ำเพื่อกักเก็บน้ำที่ไหลมาจากบนเขา ปรับสันฝายน้ำล้นทั้งสองฝั่งให้กว้างและสูงขึ้น นำดินที่ขุดมาทำกำแพงดินสำหรับเตรียมสถานที่ปลูกต้นไม้ ทำแนวกันไฟป่าร่วมกับกรมป่าไม้ และดำเนินการโครงการป่าเปียกเพื่อแก้ปัญหาไฟป่า ซึ่งในปีนี้ได้มีการสานต่อโครงการดังกล่าว และปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้น โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนเป็นอย่างดี ตลอดจนสาธุชนได้เข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนมาก และมีการเพิ่มพื้นที่ป่า เพิ่มต้นไม้นานาพันธุ์ เพื่อทำให้ระบบนิเวศน์ของวัดและชุมชนมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น อันน่าอนุโมทนายิ่ง และถือเป็นภาคีเครือข่ายที่สำคัญของกระทรวงมหาดไทย ในการเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ของสหประชาชาติ สอดคล้องกับการประกาศเจตนารมณ์เพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน (Statement of Commitment to Sustainable Thailand) ซึ่งกระทรวงมหาดไทยจะได้น้อมนำพระดำริ ของเจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในเรื่องนี้ และดำเนินการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนให้ครบทั้ง 17 ข้อตามที่ได้ร่วมลงนามและประกาศเจตนารมณ์กับ UN ให้เกิดความยั่งยืน เพื่อสร้างสังคมเกื้อกูลกับสิ่งแวดล้อม อันจะยังผลให้ประเทศไทย และโลกใบเดียวนี้ มีอายุที่ยืนยาว เป็นประโยชน์ต่อรุ่นลูกรุ่นหลาน สืบต่อไปอย่างยั่งยืน” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย

Leave a Reply