ย้อนยอยวาทกรรม “กูไม่นึกเลยว่าพระผู้ใหญ่จะใช้เล่ห์ลิ้นขนาดนี้”

     “กูไม่นึกเลยว่า  พระผู้ใหญ่จะใช้เล่ห์ลิ้นขนาดนี้ ให้กูหายเสียก่อนจะให้ความเป็นธรรม จะไปกราบขอขมาโทษ..” 

        เป็นคำพูดของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์  อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ให้กำเนิด พ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2505 หลังจากตั้งข้อหาอดีต พระพิมลธรรม (อาจ อาสภเถร)  ในข้อหาคอมมิวนิสต์แล้ว ตามคำแนะคำของคณะสงฆ์ฝ่ายที่เป็นปฎิปักษ์กับ พระพิมลธรรม ซึ่งมีทั้งฝ่ายมหานิกายและฝ่ายธรรมยุติกนิกาย  แต่ไม่สามารถเอาผิดได้ ความนี้ปรากฏชัดตามคำกล่าวของ “อาจารย์แสวง อุดมศรี” นักวิชาการด้านพระพุทธศาสนา อ้างว่า

       เมื่อปี 2505 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ได้ทำบุญเลี้ยงพระที่บ้านพัก โดยได้กราบอาราธนา สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (ปลด กิตฺติโสภโณ)  วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ได้ทรงเป็นประธานเจริญพระพุทธมนต์ ในระหว่างนี้ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้กราบทูลถามว่า

        “ ทางคณะสงฆ์ได้เสนอเป็นการภายในว่า ทางคณะสงฆ์มีหลักฐานพร้อมูลว่าพระพิมลธรรม (อาจ อาสภเถร) มีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ เมื่อทางบ้านเมืองดำเนินการไปแล้ว จนปานนี้ทางคณะสงฆ์ยังไม่มีหลักฐานอะไรมามอบให้เลย ทำอย่างนี้เกล้ากระหม่อมเสื่อมเสียชื่อเสียงมาก..”

        ปรากฎการณ์นี้ชัดมากขึ้นตามคำกล่าวของ ส.อ.อารมณ์ จารุบรรยงค์ ที่ว่า

        แม้ตอนหลังจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จะรู้สึกว่า สิ่งที่ตนเองได้ทำลงไปนั้น เป็นการผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะหลงเชื่อพระ พบกว่าความคิดอันมุ่งมั่นที่จะขจัดสิ่งขัดขวางการพัฒนาชาติตามอุดมการณ์ชาตินิยมของตน เมื่อได้ทราบความจริงแล้ว ถึงกับไม่ยอมให้สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (จวน อุฎฺฐายี) สังฆนายก  วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร เข้าพบ พร้อมกับเปรยกับผู้ใกล้ชิดในคราวที่ล้มป่วยอย่างหนัก และไปรักษาตัวอยู่ที่บ้านเขาสามมุข บางแสน จังหวัดชลบุรีว่า

         “กูไม่นึกเลยว่า  พระผู้ใหญ่จะใช้เล่ห์ลิ้นขนาดนี้ ให้กูหายเสียก่อนจะให้ความเป็นธรรม จะไปกราบขอขมาโทษ..”  แต่ต่อมาท่านก็ถึงและสัญกรรมเสียก่อน โดยไม่มีโอกาสได้จัดการเรื่องนี้แต่อย่างใดทั้งสิ้น

        พระภิกษุผู้ร่วมในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนี้

       สมเด็จพระสังฆราชปลด ได้สิ้นพระชมน์แบบปัจจุบันทันด่วน ลื่นในห้องน้ำ

       สมเด็จพระสังฆราชจวน ก็ได้สิ้นพระชนม์จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ในปี 2514

      สรุปสมเด็จพระสังฆราชทั้ง 2 พระองค์สิ้นพระชมน์ “ผิดธรรมชาติ” ทั้งสิ้น..จนมีเรื่องกล่าวขานทำนองว่า “เพราะได้สร้างบาปกรรมไว้กับพระพิมลธรรม” จริงหรือไม่ ไม่มีอะไรเป็นเครื่องพิสูจน์ได้

           ความขัดแย้งทั้งหมดทั้งมวลล้วนเกิดจากต้นตอปัญหา พ.ร.บ.การปกครองคณะสงฆ์ มีการชิงไวพลิบเล่นเล่ห์เพทุบายระหว่าง คณะสงฆ์มหานิกายและธรรมยุติกนิกาย เริ่มต้นมาตั้งแต่ พระราชบัญญัติลักษณะการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 ที่คนต้นคิดเป็นชนชั้นนำแค่ 3 คน ที่ฝ่ายมหานิกายมองว่า คณะสงฆ์ ธรรมยุตเอาเปรียบ โดยเฉพาะตำแหน่งทางปกครอง การบริหารคณะสงฆ์

            จึงเป็นที่มาของคณะปฎิสังขรณ์การพระศาสนาที่เป็นกลุ่มยุวสงฆ์รวมตัวกันประมาณ 300 รูป ภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาล และก่อเกิดพ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2484 ที่ถือว่าเป็นประชาธิปไตยที่สุดเท่าที่คณะสงฆ์เคยมี

           แต่พ.ร.บ. คณะสงฆ์ 2484 ก็ก่อให้เกิดคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายไม่พอใจอีก เพราะมองว่า คณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกายได้เปรียบ จึงมีแรงกระเพื่อมระหว่างนิกายอยางรุนแรง

            จึงเป็นที่ของ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2505 ที่คณะสงฆ์ใช้อยู่จวบจนเท่าปัจจุบันที่มีลักษณคล้ายคลึงกับ พ.ร.บ.ลักษณะการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 ( พ.ศ.2445)

            สรุป พ.ร.บ. คณะสงฆ์ ร.ศ 121  เป็นการดึงอำนาจจากพระสงฆ์ในท้องถิ่นเข้าสู่ส่วนกลาง ให้มีศูนย์รวมอำนาจอยู่ที่มหาเถรสมาคมและพระมหากษัตริย์  ผลพวงจากการใช้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ก่อให้เกิดความร้าวฉานระหว่างคณะสงฆ์อย่างรุนแรง และภายใต้ พ.ร.บ.ฉบับนี้คณะสงฆ์ถูกจับกุม ถอดสมณศักดิ์ หลายรูป เช่น มีการถอดสมณศักดิ์พระญาณนายก เจ้าอาวาสวัดอุดมธานี จังหวัดนครนายก สร้างภาพให้ครูบาศรีวิชัย และครูบาขาวปี ซึ่งเป็นหนึ่งในพระท้องถิ่นมีภาพลักษณ์ไม่ดี

             พ.ร.บ. คณะสงฆ์ 2484   กระจายอำนาจจากส่วนกลาง สู่พระสงฆ์ในท้องถิ่น เพื่อให้พระสงฆ์ได้ยึดโยงอยู่กับชุมชน เป็น พ.ร.บ.คณะสงฆ์ที่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตยมากที่สุดมีการแบ่งแยกอำนาจการปกครองเหมือนกับฝ่ายบ้านเมือง เหยื่อของ พ.ร.บ.นี้คือ พระพิมลธรรม

             พ.ร.บ. คณะสงฆ์ 2505  ดึงอำนาจกลับสู่ส่วนกลางอีกครั้ง ให้รวมศูนย์อำนาจไว้ที่มหาเถรสมาคมและพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะการแก้ไขครั้ง 2 ครั้งหลังล่าสุด อำนาจในการแต่งตั้ง ตั้งแต่สมเด็จพระสังฆราชลงมา จนถึง เจ้าอาวาสพระอารามหลวง ล้วนอยู่ในพระราชอำนาจ เหยื่อของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ เช่น พระพรหมดิลก พระพรหมสิทธิ และพระพรหมเมธี รวมอีกพระเถระอีกหลายรูป

“ผู้เขียน” เขียนบทความนี้ขึ้นมาส่วนหนึ่งเพื่อรำลึกถึง “อาจารย์แสวง อุดมศรี” อาจารย์สอนวิชาการปกครองคณะสงฆ์ไทยให้กับผู้เขียนยุคเรียน มจร ซึ่งท่านเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 2555 อีกส่วนหนึ่งเพื่อเตือนสติ “ชาวพุทธ” ว่า ในประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ไทยเคยมีเหตุการณ์แบบนี้ และตราบใจ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2505 ยังคงอยู่ในอนาคต..สิ่งเหล่านี้ก็อาจจะเกิดขึ้นอีกได้

“อาจารย์แสวง อุดมศรี” บุคลิกเวลาสอนหนังสือเป็นคนจริงจัง ไม่ค่อยยิ้ม ปากกับใจตรงกัน วิพากษ์วิจารณ์คณะสงฆ์ตรง ๆ   เขียนหนังสือเกี่ยวกับ “โลกมึด” ในวงการคณะสงฆ์หลายเล่มทั้ง “ศึกสมเด็จ” ทั้ง “สมณศักดิ์30”  ซึ่งตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันยังไม่มีใคร “กล้าเดินรอยตาม” ได้ และ “โลกอนาคต” ก็คิดว่า คงไม่มีใครกล้าเช่นกัน เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุหรือนักวิชาการพุทธศาสนาในปัจจุบัน “ยอมสยบ” ต่อชนชั้นอำนาจ เพื่อรักษาตำแหน่ง รักษาเงินเดือนและความก้าวหน้าเพื่อตนเองมากกว่ากล้าเผชิญกับ “ความจริง”

หลายปีมานี้ยุค “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ครองอำนาจทั้งไล่พระออกจากป่า,ปิดวิทยุธรรมะ,บุกวัดธรรมกาย,จับกุมพระมหาเถระระดับมหาเถรสมาคม,แก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์,ปลดเจ้าคณะจังหวัด สิ่งเหล่านี้ทำให้สังคมชาวพุทธจำนวนมากคิดถึง “คนกล้า” แบบ อาจารย์แสวง อุดมศรี

หลายปีมานี้มีข่าวซุบซิบว่า “พระภิกษุ” บางรูปไปเชื่อมโยงกับการเมือง ไปผูกมิตรกับ “คนมีอำนาจ” เพื่อให้ตนเองได้อำนาจ เพื่อให้ตัวเองมีตำแหน่ง สุดท้ายทำให้สังคมสงฆ์ “ปั่นป่วน”ซึ่งปรากฎการณ์เหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของพระพุทธศาสนาในไทยแทบทั้งสิ้น  จะรอดูว่า พ.ศ.นี้หรือ พ.ศ.หน้า จะมีคนกล้าเหมือน “อาจารย์แสวง อุดมศรี” หรือไม่

************************

Leave a Reply