“ผอ.พุทธขอนแก่น” ช็อค!! ถูกแก๊งค์มิจฉาชีพดูดเงินเกลี้ยงบัญชีกว่า 1 ล้านบาท

วันที่ 12 ก.พ.67 เพจ “ข่าวสารพระพุทธศาสนา” ได้โพสต์เรื่องเล่า “ผอ.สำนักงานพุทธศาสนาจังหวัดขอนแก่น” ถูกมิจฉาชีพดูดเงินเกลี้ยงบัญชี  ดังนี้

มีเรื่องตื่นเต้นและเศร้าใจ เมื่อ ผอ.สำนักพุทธศาสนา ขอนแก่นของเรา ถูกมิจฉาชีพดูดเงินหายไปในพริบตาจากบัญชี เป็นเงิน 1.19 ล้านบาท เหลืออยู่ 0.87 สตางค์ วันแรกท่านช็อคและซึมเศร้าแทบฆ่าตัวตาย เมื่อเงินที่เก็บมาทั้งชีวิตสูญสลายไป เพราะท่านก็ใกล้จะเกษียน จนพี่สาวที่สกลนครต้องเดินทางมาหาในคืนวันนั้น ไม่มีเงินใช้ต้องยืมและเอาทองไปขายมาใช้จ่ายไปก่อน…

เรื่องมีอยู่ว่า ท่าน ผอ.จะจองตั๋วเครื่องบินไป กทม. จึงได้ค้นหาในกูเกิล และแอดไลน์ของสายการบินไทยที่ขึ้นหน้าเพจของกูเกิล จากนั้นได้ได้สอบถามราคาตั๋ว แต่ ผอ.ยังไม่ทันได้ซื้อตั๋วปรากฏว่าจองสายการบินอื่นได้ก่อนเพราะราคาถูกกว่า จึงไม่ได้ทำอะไร แต่ไลน์สายการบินไทยได้ทักมาว่า สนใจสมัครสมาชิกไว้หรือไม่ ผอ.ท่านเป็นคนใจดีและเห็นว่าสายการบินไทยค่อนข้างขาดทุนสมัครสมาชิกไว้ก็ไม่เสียหลายถือเป็นการช่วยสายการบินของประเทศไทยไปในตัว จึงตัดสินใจสมัครโดยการส่งชื่อภาษาอังกฤษกับเบอร์โทรศัพท์ประจำตำแหน่งให้ ซึ่งไม่ใช่เบอร์ส่วนตัวที่ผูกกับแอฟกรุงไทย เพราะท่านกลัวมิจฉาชีพ จากนั้นช่วงบ่าย ผอ.ไปร่วมงานพิธีทางพุทธศาสนาในเขตเมืองพล ได้มีไลน์ของการบินไทยที่ใช้ติดต่อกันนั้นวิดีโอคอลเข้ามา ผอ.ก็รับเป็นวิดีโอคอล แต่ทางนั้นไม่เปิดหน้า และให้ ผอ.ท่านยืนยันการสมัคร จากนั้นก็วางสายไป

จากนั้นวันเดียวกันตอนค่ำ ผอ.เปิดดูแอ๊ฟกรุงไทย แต่พอดูยอดเงินกลับเหลือเพียง 0.87 สตางค์ เกิดอาการช็อคอื้ออึงไปหมด ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ โทรเข้าธนาคาร ตอนเช้าก็ไปแจ้งธนาคาร แต่ทำอะไรไม่ได้ ทางตำรวจอายัดได้ 2 บัญชี ที่เงินถูกโอนไป คือ ธ.แลนดแอนด์เฮ้าส์ กับธนาคารไทยพาณิชย์ แต่มีเงินเหลือแค่ 300 บาทเศษในบัญชีที่ถูกอายัด เจ้าของบัญชีก็อยู่ต่างจังหวัด ถ้าตามจับมาก็คงบอกว่าเป็นบัญชีที่ถูกหลอกให้เปิดบัญชี เป็นบัญชีม้า และพวกบัญชีม้าคงไม่พ้นมาร้องขอความเป็นธรรมอีกตามเคย จากนั้น ผอ.ท่านก็เดินทางไปขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานตำรวจไซเบอร์ที่ส่วนกลาง และได้ไปออกรายการ NBT เพื่อเตือนภัย และทางตำรวจส่วนกลางได้แจ้ง ผอ.ให้ยื่นฟ้องคดีผู้บริโภคกับธนาคารเจ้าของบัญชีทาง E-filing

ท่านเลยมาพบทางยุติธรรมเพื่อช่วยคีย์ยื่นฟ้องทาง E-filing ให้ แต่เราดูแล้ว การยื่นฟ้องทาง E-filing ถ้าธนาคารสู้ก็ต้องจ้างทนายนำสืบพยานหลักฐานอยู่ดี เลยจะให้ ผอ.ขอความช่วยเหลือจากกองทุนยุติธรรม เพราะตอนนี้ถึงจะมีเงินเดือน แต่ ผอ.ก็เหมือนสิ้นเนื้อประดาตัว คกก.กองทุนยุติธรรม อาจพิจารณาอนุมัติ แต่ ผอ.บอกว่า ท่านพอหาเงินได้ เอาเงินของกองทุนไปไว้ช่วยประชาชนเถอะนะครับ (เราฟังแล้วน้ำตาจะไหลตามในความจิตใจดีของท่าน)

ท่านขอดำเนินคดีจ้างทนายฟ้องธนาคารเอง โดยเอาทองไปขายเพื่อนำเป็นค่าใช้จ่ายและฟ้องคดี ซึ่งคดีประเภทนี้โดยส่วนใหญ่ปรึกษาผู้รู้พบว่า มีบางธนาคารที่เจรจาไกล่เกลี่ยขอจ่ายคืน 50 เปอร์เซ็นต์ แต่ธนาคารส่วนใหญ่จะสู้ให้ตนเองหลุดจากความรับผิดว่าลูกค้าประมาทเอง คือสู้ขาดให้ธนาคารไม่ต้องรับผิด แต่ท้ายสุดศาลจะพิพากษาให้ชดใช้บางส่วน โดยดุลพินิจแต่ละศาลจะไม่เท่ากัน จะพิพากษาให้ธนาคารจ่ายคืนตามข้อหาสัญญาฝากทรัพย์ ร้อยละ 50 ไปจนถึงร้อยละ 80 ตามลักษณะของความประมาทของผู้ฝากเงิน

แต่ของ ผอ.ท่านมีข้อต่อสู้ได้บ้างคือ ผอ.ท่านไม่ได้เปิดแอ๊ฟในการใช้ทำธุรกรรม แต่เป็นการทักไปในไลน์ และส่งเฉพาะเบอร์มือถือที่ไม่ได้ผูกกับธนาคาร และท่านตั้งค่าการโอนเงินไว้ไม่เกิน 500,000 บาท แต่เคสนี้โอนออกเป็นล้าน และการโอนเงินเกิน 50,000 ต้องสแกนใบหน้า ซึ่งที่ว่ามาก็เป็นเพียงการให้ธนาคารผู้รับฝากชดใช้เงินอันเกิดจากระบบความปลอดภัยทางธนาคารไม่เพียงพอ แต่ท้ายสุดในส่วนของคดีอาญา ก็ตามเอาเงินคืนกับมิจฉาชีพชีพไม่ได้อยู่ดี เพราะหาตัวตนไม่เจอ และในวันเดียวกันกับที่ ผอ.ท่านถูกดูดเงินนั้น มีคนไปธนาคารพร้อมท่านอีก 2 ท่าน โดยคนนึงถูกดูดไปถึง 4 ล้านบาท

เป็นเรื่องที่น่าเศร้า และเราต้องป้องกันตัวเอง ถ้าไม่ชอบมาพากลต้องตัดสาย และวิธีการค้นข้อมูลต่างๆ ในเน็ตเพื่อซื้อหรือจองอะไรต่างๆ อย่าพยายามทักเพจที่อยู่รายชื่อต้นๆ เวลาค้นหา เพราะมิจฉาชีพจะสร้างเพจขึ้นมาโดยการยิงแอ็ดโฆษณาเพื่อให้ตนยุรายชื่อต้นๆ เวลาเราค้นหา ให้สังเกตด้านล่างเพจที่เราเสิร์ชในกูเกิล ถ้ามีการยิงโฆษณาให้ระวังไว้ก่อน นอกจากนี้เวลาเราตกใจก็จะเสิร์ชแจ้งความออนไลน์ ก็ให้ดูว่าเพจของการแจ้งความออนไลน์นั้นยิงโฆษณาด้วยหรือไม่ หากยิงโฆษณาด้วยเช่นกัน ก็ให้พึงระวังไว้ว่าเรากำลังแจ้งความกับเพจตำรวจไซเบอร์ปลอม

เพราะรอแล้วรอเล่าเค้าก็ไม่ติดต่อมา เพราะมีการยิงเพจแจ้งความปลอมเพื่อหลอกให้ผู้เสียหายล่าช้าและตามเงินไม่ทันเช่นกัน วิธีดูว่าเพจไหนยิงแอ็ดโฆษณา บนหัวเพจนั้นจะเขียนว่า “ได้รับการสนับสนุน” ตามตัวอย่างด้านล่างให้เราระวังไว้ว่าอาจเป็นเพจมิจฉาชีพ… คดีนี้ก็เอาใจช่วยท่าน ผอ.สำนักพุทธที่น่ารักของเรา เมื่อเช้าก็กอดไปทีหนึ่งด้วยความสงสาร…

แต่ ผอ.ท่านคิดบวกมาก ท่านบอกว่า “พระท่านสอนว่า คนเราเกิดมาตัวเปล่ากลับไปก็ตัวเปล่า ฉะนั้นอย่าให้การสูญเสียครั้งนี้มาทำลายชีวิตเราที่เหลืออยู่” และท่านยังบอกอีกว่าจริงท่านตัดสินใจจะเกษียณอายุก่อนอายุ 60 และจะไปอยู่ต่างประเทศ

แต่พอเกิดเหตุแบบนี้ แสดงว่าเค้าคงอยากให้ท่านรับใช้แผ่นดินต่อ… ที่สำคัญท่านจิตใจดีมีเมตตามาก ท่านเล่าว่าสมัยจบมหาลัยท่านเรียนเก่ง ได้ทุนเรียนต่างประเทศจนจบได้อันดับ 1 บริษัทต่างประเทศรับเข้าทำงานที่นั่น แต่ท่านบอกว่าได้มาเห็นภาพในหลวงมีพระเสโทไหล ทำให้ท่านตัดสินใจกลับมารับใช้แผ่นดิน ท่านประหยัดอดออมไม่ฟุ้งเฟ้อ และมีเงินเก็บเพียงเท่านี้..

 

ที่มา : เพจข่าวสารพระพุทธศาสนา

Leave a Reply