ส่องยอดขุนพล!! “ธรรมนาวาวัง”

“ผู้เขียน” คิดว่าคำว่าธรรมนาวาวัง..ชื่อนี้ในหมู่ชาวพุทธบ้านเราทั้งพระภิกษุสงฆ์และคฤหัสถ์คงจะเป็นที่รู้จักกันทั่วหมดแล้ว

อดีตเคยมีรอยแผล “ผิดคีย์” กันเล็กน้อย ระหว่าง พระทวีวัฒน์ จารุวณฺโณ  หรือปัจจุบันคือ “เจ้าคุณต้น” พระราชญาณวัชรชิโนภาส  กับ “ผู้มีอำนาจ” ทางคณะสงฆ์

แต่หลังจาก “เจ้าคุณต้น” ถูกเรียกปรับทัศนคติกับ “มหาเถรสมาคม” แล้ว การขับเคลื่อน ธรรมนาวาวัง เหมือน  “ราบรื่น” ด้วยพลังพิเศษบางอย่าง แต่  “ไม่หวือหวา” หรือสนใจจากสังคมเท่าที่ควร เนื่องจาก “พระภิกษุ” ที่มีใจก็ไม่กล้ากระโดด “ลงเรือ” ลำเดียวกันกัน หรือหากมีก็ “ต้องมองซ้ายมองขวา” จับทิศทางลม

เจ้าคุณต้นกับ “มหาไพจิตร อุตฺตมธมฺโม” หรือ ปัจจุบันคือ “พระราชเมธีวชิรดิลก” เพื่อนคู่คิดกลายเป็น “หัวเดียวกระเทียมลีบ” แม้จะมีตัวช่วยไม่ว่าจะเป็น ดร.บรรจบ บรรณรุจิ ,ดร.อำนาจ บัวศิริ หรือ “ครูเงาะ” รสสุคนธ์ กองเกตุ ได้แต่ประคับประคองสถานการณ์ ตี  “ดงผ้าเหลือง” ไม่แตก

ฉับพลัน!! ที่ได้ “เจ้าคุณประสาร”  พระเทพวัชรสารบัณฑิต อดีตคือ “พระย่ามแดง” อดีตขวัญใจคนเสื้อแดง  เข้ามา “เสริมทัพ”  การขับเคลื่อน “ธรรมนาวาวัง” เหมือน “พยัคฆ์ติดปีก”

เนื่องจาก “เจ้าคุณประสาร” เป็นพระสไตล์ “ถึงลูกถึงคน” ใจถึงพึ่งได้  มีคนเนคชั่นหลากหลายวงการ ทั้งในคณะสงฆ์และการเมือง ซ้ำปัจจุบันครองตำแหน่ง “รองอธิการบดี” ฝ่ายพัฒนาและวางแผน มจร คุมทั้ง “งบประมาณ-กำลังคน” รวมทั้ง “วิทยาเขต” ทั่วประเทศอีก 40 กว่าจังหวัด

การจัดงาน “ธรรมนาวาวัง” ครั้งที่ 2 ณ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วังน้อย คือ เครื่องพิสูจน์บารมีของ “เจ้าคุณประสาร” สมกับฉายาว่า “อธิการน้อย

ยิ่งหลังจากจัดงานเสร็จไม่ถึง 10 วัน  “ผู้บริหาร มจร” ได้รับโปรดเกล้าสมณศักดิ์ 11 รูป แบบ “ลัดคิว”

ปัจจุบัน “เจ้าคุณประสาร”  มีพระวิ่งเข้าหายิ่งกว่า “เจ้าคณะหนใหญ่” 

เพราะรู้ว่า “เจ้าคุณประสาร” มีพลังพิเศษ!!

ตอนนี้ ทั้ง “เจ้าคุณประสาร-เจ้าคุณต้น- เจ้าคุณไพจิตร”  กลายเป็นเพื่อนซี้  “ต่างนิกาย” ลงเรือลำเดียวกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงคิด “งานใหญ่”  ปูพรมขับเคลื่อน “ธรรมนาวาวัง” สู่ 4 ภูมิภาค ทั่วประเทศ จำนวน 5 ครั้ง ส่วนกลาง 2 ครั้ง ต่อด้วย เชียงใหม่ ร้อยเอ็ด และนครศรีธรรมราช และดีไม่ดีมี “ข่าวแว่ว” ว่าอาจ “จับมือ” กับองค์กรพระธรรมทูตนำ “ธรรมนาวาวัง” ไปสู่ต่างประเทศด้วย

อันนี้ยังไม่นับ “กองทัพเสริม” ขุนพล “น้องใหม่” อย่าง “พระธรรมวชิรสุนทร” เจ้าคณะจังหวัดลพบุรี ในฐานะประธานกลุ่มโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา  ขอลงเรือลำเดียวกันกับ เจ้าคุณประสาร เจ้าคุณต้นและเจ้าคุณไพจิตรด้วย พร้อมกับระดมผู้บริหารโรงเรียน “ลูกพระพุทธเจ้า” หรือโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา ที่อยู่ในมือ 127 โรงเรียน มีบุคลากรครู เจ้าหน้าที่ ประมาณ 4,000 คน นักเรียนอีกประมาณ 100,000 คน ไปไหนขอไปด้วย!!

โดยเบื้องต้น “MOU” กันเรียบร้อย ว่าจะทำ โครงการปูทางธรรมนาวา “วัง” สู่หัวใจวัยเรียน ร่วมกัน โดยเป้าหมายแรกคือ เลือก “ครูใจกล้า หัวใจแกร่ง” 200 คน อบรมก่อน โดยมี “พระมหาธนศักดิ์  ธมฺมโชโต ป.ธ.9”  ผู้จัดการโรงเรียนมัธยมวัดใหม่กรงทอง  “สปอนเซอร์ใหญ่” ทุ่มไม่อั้น ต่อด้วยจัดกิจกรรมแบบ 7 เขตทั่วประเทศ  “ข่ม” เจ้าประสาร ไปในตัว

พระธรรมวชิรสุนทร..คือ “มือทำงาน” รูปหนึ่งของคณะสงฆ์ ทั้งโครงการ “วัดประชารัฐสร้างสุข -หมู่บ้านรักษาศีล 5”  ชอบ “ปิดทองหลังพระ”  เสียเงินไม่ว่า แต่เสียหน้าไม่ได้ สไตล์ เล็ก ๆ ไม่ ใหญ่ ๆ ทำ!!

“ผู้เขียน” เล่ามาทั้งหมดนี้ยังไม่นับ “กองหนุน” อย่าง “ฐนิวรรณ กุลมงคล” นายกสมาคมภัตตาคารไทย ที่คอยตามเสิร์ฟอาหารรสเลิศทุกแห่ง ทุกมื้อ  ดีไม่ดีทุกที่ได้  “กาแฟอเมซอน” พร้อมขนมปังพักเบรกอีกต่างหาก..

“ผู้เขียน” เชื่อว่า “ธรรมนาวาวัง” หากจัดทัพให้ดี พร้อมกับบวกด้วย “พลังพิเศษ” ไปได้อย่าง “ราบรื่น” แต่ลำพังรูปแบบปัจจุบัน อาจเข้าไม่ถึง “ครอบครัว-ชุมชน”

“ผู้เขียน” ฝากให้ “ดร.บรรจบ -ดร.อำนาจ” ในฐานะ “ฝ่ายเสนาธิการ” ลองไป “พิจารณา”  รูปแบบการทำงานของ “วัดพระธรรมกาย –สถานบันพลังจิตตานุภาพ” ของหลวงพ่อวิริยังค์ดู เนื่องจากทั้ง 2 แห่งนี้ เข้าถึงประชาชนทุกวัยและทุกสาขาอาชีพ และคนใน 2 องค์นี้ทำงานแบบ “อุรํ ทตฺวา”

และเท่าที่สังเกตทั้ง 2 แห่ง มีทั้งกำลังคน เครือข่าย รูปแบบ ที่เข้าถึงครัวเรือนชุมชน มิใช่ทำงานแบบ “ฉาบฉวย” หรือสักแต่ว่าจัด..เพื่อให้ได้ภาพ

หรือถ้าให้ดีลอง “จับมือ”  ร่วมกันเป็น “ภาคีเครือข่าย”  เพื่อประเทศชาติและพระพุทธศาสนา และทั้งเพื่อให้ชาวพุทธอยู่ร่วมกันอย่างสันติภายใต้พระบรมโพธิสมภาร

ชาวพุทธต้องรักและสามัคคีกันไว้ ผู้น้อยฟังผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ฟังผู้น้อย มีอะไรกล่าวตักเตือนซึ่งกันและกัน อย่ามองชาวพุทธด้วยกันดัง “ศัตรู”  ให้มีความเป็น “กัลยาณมิตร” เอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน

ดังวัดพระธรรมกายที่มีสโลแกนว่า “พุทธบุตรต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน  เหมือนดวงตะวันที่มีดวงเดียว” แยกวัด แยกสำนัก แยกพวก แยกนิกาย ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ ต่อ พระพุทธศาสนา ต่อประเทศชาติและต่อประชาชน!!

Leave a Reply