วันที่ 9 พฤศจิกายน 2568 พระมหานรินทร์ นรินฺโท วัดไทยลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา ตั้ง ข้อสังเกต ว่าด้วยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ.2568 ที่ไม่นานว่านี้ประกาศลงราชกิจจานุเบกษาว่า ระหว่าง ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี กับ พรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ใครใหญ่กว่าใคร ? ทับซ้อนกับอำนาจของมหาเถรสมาคมหรือไม่ โดยมีความว่า
ท่านอาจารย์ พลตรี นเรศร์ จิตรักษ์ ได้ส่งเอกสารชุด ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ.2568 ซึ่งเพิ่งจะลงนามโดยท่านนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2568 มาให้อ่าน อ่านแล้วก็เกิดความเห็นของพระมหานรินทร์ ต่อระเบียบฯ ดังกล่าว ดังต่อไปนี้
ก่อนอื่นก็ต้องถือว่า เป็นที่ตื่นตาตื่นใจในวงการพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก ที่สำนักนายกรัฐมนตรีได้ออกระเบียบคุ้มครองพระพุทธศาสนามาเป็นพิเศษ มีอำนาจล้นฟ้า เสมือนเป็น “ซูเปอร์บอร์ด” ในทางพระพุทธศาสนา จึงจะปล่อยให้ผ่านไปอย่างไวๆ นั้น นับเป็นเรื่องที่น่าพะวงใจอย่างยิ่ง มีทั้งคุณอนันต์และโทษมหันต์เลยทีเดียว
และต้องขอออกตัวไว้ด้วยว่า พระมหานรินทร์ ไม่ใช่นักกฎหมาย ไม่เคยเรียนกฎหมาย จึงไม่รู้กฎหมาย แต่ก็พยายามศึกษากฎหมายอย่างที่เรียกว่า สมัครเล่น
ประเด็นแรกที่ต้องนำมาพิจารณากันก็คือ คำว่า “ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี” นี้คืออะไร ?
ถามลึกลงไปก็คือว่า ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นกฎหมายหรือไม่ ?
คำตอบก็คือ ระเบียบ ไม่ใช่กฎหมาย กฎหมาย ก็ไม่ใช่ระเบียบ เพราะถ้าระเบียบจะเป็นกฎหมาย หรือกฎหมายจะเป็นระเบียบ ก็จะต้องมีที่มาที่ไปจากที่เดียวกัน และจะมีผลในทางกฎหมายที่เสมอกัน ไม่ลักลั่นกัน ไม่งั้นก็ไม่ต้องมีกฎหมายและระเบียบให้แตกต่างกัน
กฎหมายนั้น จะต้องออกโดยรัฐสภา ซึ่งบางที่ก็มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่แทน ก็ถือว่าเป็นระดับเดียวกัน พอผ่านรัฐสภาแล้ว ประธานรัฐสภาก็จะนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ประกาศใช้อย่างเป็นทางการต่อไป ขณะเดียวกัน ก็มีบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ให้อำนาจแก่สำนักนายกรัฐมนตรี ในการออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งจะต้องอยู่ในขอบเขตหรืออำนาจหน้าที่ของฝ่ายบริหาร ไม่ใช่ฝ่ายนิติบัญญัติ เพราะสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นฝ่ายบริหาร ไม่ใช่นิติบัญญัติ จึงไม่มีอำนาจในการออกฎหมาย แต่ให้ออกระเบียบได้ ซึ่งระเบียบนี้ก็จะมีอำนาจในระดับหนึ่ง ไม่ถึงกับเป็นกฎหมาย
นี้เป็นความเข้าใจของพระมหานรินทร์นะ ในทางกฎหมายของประเทศไทยเรานั้น ก็เข้าใจว่า มีลำดับความสูงของกฎหมายอยู่หลายชั้น ได้แก่ รัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายแม่ เป็นแม่บทของการปกครองประเทศ รองลงมาก็เป็นกฎหมายอาญา พานิช แพ่ง ฯลฯ รวมทั้งกฎหมายปกกครองคณะสงฆ์ ที่เรียกว่า พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ด้วย
ว่าด้วยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีนั้น ก็มีระเบียบคล้ายกันในทางคณะสงฆ์ คือเมื่อทางบ้านเมือง ได้ยกเรื่องการบริหารกิจการคณะสงฆ์ให้พระสงฆ์ดูแลกันเองโดยเฉพาะ จึงออก พรบ.คณะสงฆ์ ตั้งแต่ ร.ศ.121 พ.ศ.2484 และ พ.ศ.2505 มาเป็นลำดับ นับเป็นกฎหมายปกครองสงฆ์โดยเฉพาะ และกำหนดให้มีรัฐบาลคณะสงฆ์ ปฏิบัติหน้าที่ตาม พรบ. ฉบับนี้ รัฐบาลคณะสงฆ์นี้มีชื่อว่า มหาเถรสมาคม มีอำนาจในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ ครอบคลุมในทั้งการบริหาร และนิติการ คือหมายความว่า เป็นทั้งฝ่ายรัฐบาลและตุลาการ เป็นอำนาจครอบจักรวาลที่รัฐบาลมอบให้คณะสงฆ์ไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณ มหาเถรสมาคมนั้นมีสมเด็จพระสังฆราช ทรงเป็นประธาน และมีคณะกรรมการตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินั้น

แต่อำนาจในการบริหารและตุลาการของมหาเถรสมาคม ก็เป็นอำนาจในทางคณะสงฆ์ จะว่าจำกัดใช้ในวงการสงฆ์เท่านั้นก็ว่าได้ จึงถือว่าเป็นอำนาจที่มีขอบเขตจำกัดเช่นกัน ซึ่ง พรบ.คณะสงฆ์ทุกฉบับ ก็จะให้มหาเถรสมาคม มีอำนาจในการ “ออกกฎ-ระเบียบ-คำสั่ง” ที่จะช่วยให้การปฏิบัติหน้าที่ของตนเองนั้นสำเร็จลุล่วงลงไปได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องไม่ขัดหรือแย้งต่อกฎหมายคณะสงฆ์เอง รวมทั้งกฎหมายแม่คือรัฐธรรมนูญ และรวมทั้งพระธรรมวินัย อีกด้วย
ถ้าเทียบไปแล้ว ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ก็เท่ากับ ระเบียบมหาเถรสมาคม ซึ่งระเบียบทั้งสองนั้นถือว่าเป็นรองในด้านกฎหมาย และจะถือว่าเป็นกฎหมายที่มีอำนาจเต็มไม่ได้ ระเบียบดังกล่าวจึงต้องมีเนื้อหาสาระในทาง “สนับสนุน” กฎหมาย แต่ไม่ใช่สูงกว่ากฎหมาย หรือเป็นกฎหมายเสียเอง
ถ้าเป็นในทางหลักธรรมแล้ว พระธรรมวินัยคือกฎหมายแม่ แต่จะมีตัวอธิบาย เรียกว่า อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา เป็นลำดับชั้น ซึ่งการจะพิจารณาใหน้ำหนักก็ต้องใช้อนุฎีกา สนับสนุนฎีกา ใช้ฎีกาสนับสนุนอรรถกถา และใช้อรรถกถาสนับสนุนพระธรรมวินัย หรือพระไตรปิฎก
หรืออีกนัยหนึ่ง อรรถกถาก็ดี ฎีกาก็ดี อนุฎีกาก็ดี จะขัดหรือแย้งกับพระไตรปิฎกไม่ได้
แล้วทีนี้ว่า สำนักนายกรัฐมนตรี ได้ออกระเบียบฉบับนี้ขึ้นมา โดยอ้างเอารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มีข้อความดังนี้ “มาตรา 67 รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น
ในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือมาช้านาน รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาท เพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทําลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด และพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดําเนินมาตรการ”
มาตรานี้แหละที่รัฐบาลนำมาเป็นเหตุผลในการออกระเบียบคุ้มครองพระพุทธศาสนาดังกล่าว
แต่เมื่อดูในรายละเอียดของระเบียบดังกล่าวแล้ว ก็จะพบว่า เป็นการตั้งคณะกรรมการคุ้มครองพระพุทธศาสนา ขึ้นมา เรียกชื่อว่า คพช. มีอำนาจหน้าที่ที่ต้องเรียกว่า ล้นฟ้าในทางพระพุทธศาสนา อาจจะเหนือกว่ามหาเถรสมาคมด้วยซ้ำไป
การตั้งหน่วยงานใหญ่ระดับนี้ จึงมีคำถามว่า ลำพังระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี มีอำนาจทำได้หรือ ?
นี่เป็นประเด็นแรกนะ
อย่าลืมนะครับว่า ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีที่ว่านี้ มีอำนาจล้นฟ้า ทั้งด้านบริหารกิจการคณะสงฆ์ รวมทั้งตุลาการ ซึ่งยังเป็นตุลาการสูงสุดอีกด้วย เพราะมีอำนาจในการพิจารณาปัญหาว่าด้วยพระธรรมคำสอน โดยการตั้งคณะวินัยธรและธรรมธร มีอำนาจในการวินิจฉัยปัญหาว่าด้วยพระธรรมและวินัยในทุกระดับ
ซึ่งแต่เดิมมานั้น อำนาจในการพิจารณาและวินิจฉัยทั้งด้านพระธรรมและวินัยนั้น เป็นของมหาเถรสมาคม มหาเถรสมาคมจึงมีอำนาจในการออก กฎ ระเบียบ คำสั่ง เพื่อสนับสนุน พรบ.คณะสงฆ์ ให้สัมฤทธิ์ผล
แต่ ณ วันนี้ มีการออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี กำหนดให้มีอำนาจในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ และวินิจฉัยพระธรรมและวินัย
ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ที่ทับซ้อนกับอำนาจของมหาเถรสมาคม ตาม พรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505
จะว่าระเบียบสำนักนายกฯ ดังกล่าว ไปยึดหรือดึงอำนาจของมหาเถรสมาคม มาจาก พรบ.คณะสงฆ์ ไปจนหมดสิ้น ก็คงว่าได้ ต่อไป มหาเถรสมาคมก็คงมีหน้าที่เฝ้าตำหนักเพชร วัดบวรนิเวศวิหาร เท่านั้น
ซึ่งก็จะเป็นประเด็นในทางกฎหมายต่อไปว่า ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี มีอำนาจที่จะตั้งคณะกรรมการทั้งด้านพระธรรมและวินัย และใช้อำนาจอื่นๆ ที่คาบเกี่ยวกับอำนาจมหาเถรสมาคมได้หรือไม่

ถามให้ชัดก็คือว่า ระหว่าง ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี กับ พรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ใครใหญ่กว่าใคร ?
ถ้าระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับนี้ ทำแบบนี้ได้ คือออกระเบียบมา มีอำนาจครอบจักรวาล นั่นแสดงว่า อำนาจบริหารใหญ่กว่านิติบัญญัติ หรือฝ่ายบริหารมีอำนาจในทางนิติบัญญัติได้ด้วย ซึ่งในทางกฎหมายแล้วทำไม่ได้
รัฐธรรมนูญท่านแยกอำนาจไว้เป็น 3 ฝ่าย คือ บริหาร ตุลาการ และนิติบัญญัติ ซึ่งทั้งบริหารและตุลาการ จะต้องปฏิบัติหน้าที่ไปตามขอบเขตอำนาจที่ผ่านนิติบัญญัติหรือรัฐสภาเท่านั้น แม้ว่าฝ่ายนิติบัญญัติจะให้อำนาจแก่ฝ่ายบริหารและตุลาการ ก็จะเป็นอำนาจตามภาระหน้าที่ และจำกัดไว้ในขอบเขตของหน่วยงานนั้นๆ ซึ่งอาจจะเพิ่มอำนาจให้ด้วยการอนุโลมให้นิติบัญญัติและตุลาการ สามารถออกระเบียบ คำสั่ง อื่นใด ที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อกฎหมายและรัฐธรรมนูญ
พระมหานรินทร์ก็อ่านกฎหมายแบบบ้านๆ เช่นนี้ และทีนี้ว่า ถ้าเราเอาระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ.2568 ฉบับนี้ ไปเทียบกับ พรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ก็จะพบว่า ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี มีอำนาจสูงกว่า พรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แบบไม่น่าเป็นไปได้
ในทางนิติบัญญัติแล้ว การจะออกกฎหมายฉบับใดขึ้นมาใหม่ แต่กฎหมายฉบับนั้นมีอำนาจและหน้าที่ “ทับซ้อน” กับกฎหมายฉบับเดิมที่มีอยู่ ถึงแม้ว่ากฎหมายฉบับเดิมจะล้าหลัง ไม่ทันสมัย จำเป็นต้องปรับปรับแก้ไขหรือเพิ่มเติมอะไรก็ตามแต่ แต่รัฐสภาก็จะนำเอากฎหมายฉบับเก่านั้นมาพิจารณาเป็นหลักก่อน จากนั้นเมื่อจะออกกฎหมายใหม่ เพื่อป้องกันความซ้ำซ้อน จึงต้องมีการ “ยกเลิกบทบัญญัตินั้นๆ” จะเป็นฉบับหรือเป็นรายมาตรา ก็สุดแต่ว่าจะพิจารณากัน แล้วจึงจะตั้งบทบัญญัติใหม่ขึ้นมา เพื่อใช้ทดแทนกฎหมายเก่านั้น
แต่ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับนี้ ไม่ได้ออกเป็นกฎหมายผ่านรัฐสภา แต่มีกระบวนการชงจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเข้าสู่สำนักนายกรัฐมนตรี โดยมีความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมด้วย ซึ่งกระบวนการดังกล่าว ไม่ใช่กระบวนการนิติบัญญัติ แต่เป็นกระบวนการ “บริหารบัญญัติ”
กฤษฎีกาเป็นที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายของรัฐบาล ไม่ใช่ฝ่ายออกกฎหมายให้รัฐบาล
ดังนั้น จะอาศัยความเห็นของกฤษฎีกาเพื่อออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มีเนื้อหาทับซ้อนหรือสูงกว่ากฎหมายคณะสงฆ์ ไม่ได้ จะบอกว่า ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับนี้ ผิดทั้งอำนาจหน้าที่และกระบวนการออกระเบียบเลยก็ว่าได้
มองอีกภาพหนึ่ง การออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับนี้มานั้น เท่ากับว่า เป็นการสร้างห้องนอนให้ใหญ่กว่าตัวบ้าน คือ ระเบียบสำนักนายก มีอำนาจหน้าที่ “ใหญ่กว่า” พรบ.คณะสงฆ์
หรือจะพูดว่า นายกรัฐมนตรี มีอำนาจสูงกว่ามหาเถรสมาคม หรือสูงกว่าสมเด็จพระสังฆราช ในทางพระธรรมวินัย

ซึ่งว่าโดยหลักการแล้ว เป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะอ้างหลักการในรัฐธรรมนูญ ซึ่งเขียนให้อำนาจรัฐบาลไว้อย่างหลวมๆ ก็ตาม ซึ่งนักกฎหมายมหาชนย่อมจะเข้าใจว่า รัฐธรรมนูญเขียนไว้เช่นนั้น เพื่อให้รัฐบาลมีแนวทางในการสนับสนุนกิจการพระพุทธศาสนา แต่ทั้งนี้ก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ก้าวก่ายอำนาจหน้าที่ขององค์กรอื่นๆ เช่น มหาเถรสมาคม ซึ่งมีกฎหมายปกครองคณะสงฆ์เป็นการเฉพาะแล้ว
หากรัฐบาลเห็นว่า กฎหมายคณะสงฆ์นั้น ไม่ทันสมัย ไร้ประสิทธิภาพ สมควรทำการปรับปรับเสียใหม่ ก็จะมีกระบวนการแก้ไขโดยผ่านรัฐสภาเท่านั้น นอกจากนั้นหาทำได้ไม่ กรณีมีตัวอย่าง เช่นว่า การที่ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับนี้ ให้อำนาจหน้าที่แก่คณะกรรมการวินัยธรและธรรมธร ในการพิจารณาปัญหาทั้งด้านพระธรรมคำสอนและพระวินัย แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
แต่ก็อย่าลืมว่า อำนาจหน้าที่ที่ว่านี้ยังคงมีอยู่ใน พรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ที่ให้อำนาจแก่มหาเถรสมาคม ในการพิจารณาและวินิจฉัยทั้งด้านพระธรรมและพระวินัย และมหาเถรสมาคมก็เคยออก “กฎมหาเถรสมาคม” ขึ้นมา เพื่อใช้สนับสนุนในการวินิจฉัยให้ลุล่วง มาหลายฉบั
ถามว่า การที่รัฐบาลออกระเบียบมา มีเนื้อหาทับซ้อนกับอำนาจหน้าที่ของมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการวินิจฉัยอรรถคดีต่างๆ ทางสงฆ์ นั้น ทำได้หรือไม่
พูดให้ชัดก็คือว่า นับจากที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เซ็นตั้งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการคุ้มครองพระพุทธศาสนา ขึ้นมา ในวันที่ 6 พฤศจิกายน นั้น เท่ากับว่า มีการตั้งหน่วยงานซ้ำซ้อนกับมหาเถรสมาคม เพราะมีอำนาจหน้าที่ที่เหมือนกัน แถมยังสูงกว่ามหาเถรสมาคมอีกต่างหากด้วย
จะว่านี่คือการยึดอำนาจมหาเถรสมาคม หรือการล้มล้าง พรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ผ่านระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ว่าได้
จึงถามว่า ในทางกฎหมายแล้ว ทำได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี หรือสำนักนายกรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่ทำเช่นนี้ได้หรือไม่ ?
ถ้าว่าทำได้ ต่อไป หากมีปัญหาในหน่วยงานใดๆ สำนักนายกรัฐมนตรีก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยรัฐสภาในการพิจารณาแก้ไขและออกกฎหมายใหม่แล้ว ก็อ้างรัฐธรรมนูญแล้วออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ให้มีอำนาจล้นฟ้าไปเลย แบบนี้ก็เอวังประเทศไทย
ปัญหาว่าด้วยระเบียบฉบับนี้ยังไม่หยุดเพียงแค่นี้ เพราะมีการตั้งคณะกรรมการ คพช. ทั้งระดับชาติและภูมิภาค คือให้มีคณะกรรมการกลาง เหมือนรัฐบาลคณะสงฆ์ส่วนกลาง และคณะกรรมการระดับจังหวัด กระจายไปทั่วประเทศ ซึ่งก็ใช้วิธีการไปดึงเอาเจ้าหน้าที่มาจากมหาเถรสมาคมและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาตินั่นเองแหละ แต่ให้มาทำงานในองค์กรใหม่ ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะบริหารจัดการกันอย่างไร
โดยเฉพาะก็คือ หน่วยงานใหญ่ระดับนี้ ต้องมีทั้งสถานที่และงบประมาณ ซึ่งถือว่ามหาศาล ถามว่า รัฐบาลมีสถานที่และงบประมาณเพื่อการนี้หรือไม่

หรือว่าจะใช้วิธี “ยืม” ยืมทั้งคน ยืมทั้งเงิน ก็ดูภาระหน้าที่และอำนาจของ คพช. ชุดนี้สิ ทั้งพิจารณาปัญหาว่าด้วยพระธรรม-วินัย ในพระไตรปิฎก ทั้งมอบหมาย ติดตามดูแล และกำกับดูแล สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้คำแนะนำและคำปรึกษาในการปฏิบัติงานของหน่วยงานรัฐ ประสานและร่วมมือกับหน่วยงานรัฐ ทั้งด้านบุคคลากรและเอกสาร รวมทั้งความเห็นที่จำเป็น ร่วมมือกับภาคเอกชน องค์กรระหว่างประเทศ หรือต่างประเทศ ในการคุ้มครองพระพุทธศาสนา ตั้งคณะอนุกรรมการ ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายกำหนด หรือตามที่นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี มอบหมาย
และในส่วนของคณะวินัยธรและธรรมธรนั้น ก็ให้มีอำนาจหน้าที่พิจารณาและวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับพระธรรมวินัย ทั้งที่มีการโต้แย้งตีความและการบังคับใช้ หรือแม้แต่เกิดความเห็นแตกต่างกัน แม้ว่าจะผ่านการพิจารณาตามกฎมหาเถรสมาคม คือผ่านมหาเถรสมาคมมาแล้ว คณะวินัยธรและธรรมธรของระเบียบนี้ ก็ยังมีอำนาจสูงกว่านั้นอีกแบบนี้แหละที่เรียกว่า ครอบจักรวาล
ก็จะกลับไปที่คำถามเดิมคือ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่สูงส่งกว่ากฎหมายคณะสงฆ์หรือไม่ ?
ทำไม รัฐบาลไทย ไม่ยอมนำเอา พรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 เข้าไปแก้ไขในรัฐสภา เพื่อออกมาเป็นกฎหมายคณะสงฆ์ ให้ถูกต้องตามกระบวนการนิติบัญญัติ แต่เล่นลักไก่ ใช้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาเป็นข้ออ้าง แล้วเขียนกฎหมายใช้ครอบจักรวาลเลย
แน่นอนว่า เนื้อหาของระเบียบนี้หลายมาตรา ถูกใจชาวพุทธ โดนใจพระหนุ่มเณรน้อย ในหลายๆ ประเด็น อยากเห็นมหาเถรสมาคมทำอย่างโน้นอย่างนี้มานาน แต่ไม่เห็นทำอะไร ถึงกับมีคำถามว่า “มหาเถรสมาคมมีไว้ทำไม” เสียด้วยซ้ำไป
แต่ความถูกใจ ความโดนใจ ก็ต้องไม่ไปทำลายหลักการรัฐประศาสนศาสตร์ ถูกใจ ถูกต้อง ถูกธรรม ย่อมจะมีระดับของความถูกให้วินิจฉัยในนานาอารยประเทศ
เช่นกัน เมื่อประเทศไทยมีหลักกฎหมายที่เป็นอารยะ ก็ต้องใช้ความเป็นอารยะมาเป็นหลัก โดยเฉพาะในทางพระพุทธศาสนา จะทำอะไรก็ต้องระมัดระวัง ไม่งั้นจะเกิดปัญหาตามมาไม่สิ้นสุด
ยกตัวอย่าง ถ้าคณะวินัยธรและธรรมธร ใช้อำนาจหน้าที่บังคับพระภิกษุสามเณรหรือบุคคลใด ๆ ก็ดี โดยอ้างระเบียบนี้ ทีนี้ว่า พระภิกษุสามเณรและบุคคลนั้นๆ เห็นว่า ในทางคณะสงฆ์หรือพระพุทธศาสนา ยังมี พรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 บังคับใช้ (ไม่ถูกยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงบทบัญญัติ) นั่นเท่ากับว่า ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับนี้ ใช้อำนาจซ้ำซ้อนกับอำนาจของมหาเถรสมาคม ในการพิจารณาและวินิจฉัยอธิกรณ์ (มีกฎมหาเถรสมาคมว่าด้วยการนิคหกรรมอยู่) พระภิกษุสามเณรหรือบุคคลนั้นๆ จึงไม่ยอมรับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับนี้ ว่าเป็นกฎหมาย
จึงอาจจะไม่ขอขึ้นศาลคณะพระวินัยธรและธรรมธรของนายกรัฐมนตรี แต่จะขอขึ้นศาลสงฆ์ของมหาเถรสมาคม ตาม พรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ที่ยังมีอำนาจบังคับใช้อยู่


Leave a Reply