เสียงสะท้อน : พระสงฆ์ชายแดนใต้

                “อาตมาอยากฝากถึงภาครัฐว่า คนในพื้นที่รอมากว่า 10 ปี ที่ต้องการจะสร้างความเข้าใจระหว่างศาสนา ไม่ต้องการความรุนแรง อยากให้เข้าใจกัน รัฐจะทำอย่างไรก็ได้ ให้พื้นที่เกิดความสันติ ”    พระครูขันติธรรมาธร เจ้าอาวาสวัดโคกตา อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส

           เมื่อช่วงบ่ายวันนี้ที่คณะใต้ วัดราชาธิวาส  เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร             ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย สถานีโทรทัศน์ DD.TV ร่วมกับภาคีเครือข่ายชาวพุทธได้จัดกิจกรรมบำเพ็ญกุศลถวายแด่พระครูประโชติรัตนานุรักษ์  อดีตเจ้าอาวาสวัดรัตนานุภาพ  อดีตเจ้าคณะอำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส และพระสมุห์อรรถพร กุสลจิตฺโต  ซึ่งทั้งสองรูป ถูกโจรใต้ยิงเสียชีวิตด้วยอาวุธสงครามภายในวัดอันเป็นที่ธรณีสงฆ์

            กิจกรรมวันนี้มีการถ่ายทอดสดทาง DD.TV โดยมีพระภิกษุสงฆ์และคฤหัสถ์มาร่วมอย่างคับคั่ง อาทิ พระธรรมกิตติเมธี ประธานศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย พระเมธีธรรมาจารย์ เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย พระสุธีวีรบัณฑิตหรือเจ้าคุณโชว์ ศ.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ ประธานสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย  ดร.เสถียร วิพรมหา นายกนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา รวมทั้งตัวแทนพระสงฆ์จากชายแดนภาคใต้

            ก่อนร่วมกิจกรรมบำเพ็ญกุศลถวายแด่พระสงฆ์ผู้เสียชีวิต ทางผู้จัดการกิจกรรมได้เชิญ พระครูขันติธรรมาธร เจ้าอาวาสวัดโคกตา อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นตัวแทนคณะสงฆ์ในพื้นที่มาเปิดใจเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีรายละเอียดดังนี้

             “ อาตมาขอเล่าสถานการณ์ชายแดนภาคใต้ และวันที่เกิดเหตุว่า วัดของอาตมาอยู่ห่างจากวัดรัตนานุภาพ อันเป็นวัดที่เกิดเหตุประมาณ 7 กิโลเมตร สถานการณ์ชายแดนภาคใต้ตั้งแต่ปี 47 มานั้นอึมครึมมาตลอด ทั้งพระสงฆ์และชาวบ้านหาความสุขแทบไม่ได้เลย ไม่เหมือนแต่ก่อน ถ้าเกิดว่าได้มีโอกาสออกจาก 3 จังหวัดมาถึงสงขลาหรือที่ไหนก็แล้วแต่ รู้สึกว่ามีความปลอดภัย ถ้าคราวใดต้องกลับไปยัง3จังหวัดชายแดนภาคใต้รู้สึกว่าไม่ปลอดภัย แม้แต่อาตมาเองก็ตาม ก็มีความรู้สึกแบบนั้น ส่วนตัวของอาตมาเอง ก็เป็นผู้หนึ่งที่เผยแผ่ธรรมะอยู่ในที่นั้น ทุกวันอาทิตย์อาตมาต้องไปออกรายการที่สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ต้องเอาปืนซ่อนไปด้วย เพราะระหว่างกลัวโจรกับกลัวตำรวจจับปืนนี้ ต้องช่างน้ำหนักดู หมายความว่า ทั้งกลางวันและกลางคืนมันก็ต้องระแวงอยู่อย่างนั้น ถามว่าเจ้าหน้าที่อยู่ตลอดทางไหมก็ไม่มี ส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่อยู่ที่ป้อมตรวจ เวลาเกิดเหตุส่วนใหญ่มันเกิดระหว่างทาง พระสงฆ์เรามีงานทั้งกลางวันและกลางคืน อย่างงานศพโยมบางทีมันก็ต้องไปเทศน์กลางคืน บางทีกลับ 2-3 ทุ่มก็ต้องระมัดระวังระแวง อยู่แบบนี้มา 10 กว่าปี

            ที่นี้ความหวังเราก็คือว่าเมื่อไรมันจะสงบสักที บางรูปก็หวังว่า สถานการณ์ชานแดนใต้มันจะสงบสักวัน บางรูปตายไปพร้อมกับความหวังตรงนี้ 

            ที่นี้มาพูดถึงเรื่องของพระครูประโชติรัตนานุรักษ์  อดีตเจ้าอาวาสวัดรัตนานุภาพ  และพระอรรถพร กุสลจิตฺโต เหตุการณ์ในข่าวบางอย่างก็บิดเบี้ยวบ้าง วันนั้นประมาณ 1 ทุ่มกว่า ๆ  ตอนเช้าก็มีระเบิดแล้ว แต่ไม่ห่างไกลจากวัดมากนัก อยู่ระหว่างวัดของอาตมาและวัดท่านพระครูประโชติรัตนานุรักษ์   ซึ่งเป็นทางตรงและเปลี่ยว อาตมาใช้สัญจรถนนนี้อยู่ประจำเวลาไปสอนธรรมะหรือไปสอนธรรมศึกษา ในเหตุการณ์วันที่18 มกราคมนั้น พระประโชติประโชติรัตนานุรักษ์   ท่านอาศัยอยู่ในวัดนั้นพร้อมกับพระภิกษุ 5  รูป  หลังจากทำวัตรเย็นบนโบสถ์ 2 ชั้น ที่ท่านสร้างเอาไว้ เวลามืดแล้ว ท่านพระครูประโชติ ได้ลงมาฉันน้ำชาที่อยู่ข้าง ๆ โบสถ์ ซึ่งได้พูดคุยกับพระอรรพรและพระแดง ซึ่งพระแดง เป็นพระอาคันตุกะ เพิ่งเดินทางมาตอนบ่ายวันนั้น  ลักษณะการตั้งวงสนทนา ท่านพระครูประโชติ ท่านนั่งหันหลังไปทางสวนยาง ส่วนพระอรรพรและพระแดง หันหน้าเข้าไปทางสวนยาง ซึ่งเป็นทางโจรเดินเข้ามา ก็นั่งคุยกัน มีไฟสว่างพอประมาณ พระแดงเป็นคนเห็นโจรคนแรกจึงทักขึ้นมาก่อนว่า ท่านพระครูโน้น..ทหารเขามาทำไม ทีนี้ท่านพระครูประโชติ ก็หันไปแวบหนึ่งแล้วก็หันมาบ่นว่า เออ!! ผมก็บอกกำนันผู้ใหญ่บ้านหรือทหารแล้วว่า ถ้าจะเข้ามาในวัดก็ขอให้แจ้งมาบ้าง เพราะเราไม่รู้ว่าจะเป็นทหารจริงหรือผู้ร้าย เพียงประมาณ 1-2 วินาทีเท่านั้น ผู้ร้ายที่อยู่ห่างประมาณ 15 เมตร ซึ่งมีจำนวน 6 คน สาดกระสูนเข้ามาเลย คนยิงจริง ๆ ประมาณ 3 คน พระครูประโชติก็ล้มลงจากเอ้าอี้ตรงนั้น และพระอรรถพรเสียชีวิตคาที่เช่นเดียวกัน  ส่วนพระแดง ซึ่งเป็นพระอาคันตุกะ ถูกกกระสูนยิงเข้าที่หัวไหล่ ท่านก็ล้มลง โชคดีคือพื้นด้านล่างที่พระแดงล้มลงเป็นพื้นต่ำ กระสูนก็เลยข้ามไป ไม่ถูกตัวท่าน แต่จากการสอบถามจากพระแดง  ท่านบอกว่าท่านแกล้งตาม ทำตัวให้นิ่งไม่ขยับ คนร้ายนึกว่าท่านตายแล้ว  ก็เลยไปยิงพระพุทธรูปซึ่งตั้งอยู่ใกล้ ๆนั้นต่อ จากนั้นก็เดินกลับไปทางเดิมผ่านกุฎิที่มีไฟเปิดอยู่ ซึ่งตรงนี้ท่านพระครูประโชติ ซื้อเอาไว้และก็ถมดินแล้วเอากฎิเก่า ๆ ไปตั้งไว้บนนั้น  ส่วนพระอีกรูปชื่อพระญาณ กำลังเปิดไฟอยู่ในกุฎินั้น โจรมันก็สาดกระสูนเข้าไปโดนพระญานที่ขา สรุปคือบาดเจ็บ 2 ตาย 2 นี้คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บางข่าวลงว่าพระครูประโชติเดินไปหาโจร ความจริงมันไม่ใช่ และโจรก็มากันแค่ 6 คน ไม่ใช่นับสิบคน

              วัดรัตนานุภาพ ความจริงทหารกับตำรวจเขาก็ต้องการจะเข้ามาอยู่มาอารักขา แต่ท่านพระครูประโชติ ท่านไม่เอา เพราะเวลามาอยู่มีทั้งทหารพุทธและทหารมุสลิม ทหารเวลาเข้ามาอยู่ก็จะอยู่ตามกุฎิตามศาลา ขุดหลุมตั้งกระสอบทราย เวลาคนเข้ามาต้องตรวจ บางแห่งตรวจแม้กระทั้งปิ่นโต ท่านพระครูประโชติท่านไม่เอา อีกอย่างเวลาทหารเข้ามาอยู่ก็มีผู้หญิงเข้าออก ๆ  กระจู๋กระจี่กัน เป็นภาพที่ไม่ดี ท่านพระครูเลยไม่เอา ท่านเป็นพระที่เคร่งครัดเรื่องวินัย เป็นคนละเอียด อีกทั้งเวลาทหารเข้ามาอยู่ตากผ้า ตากกางเกงใน ดูแล้วไม่เจริญตา ไม่เหมาะสมกับความเป็นวัด

            วัดหลายวัดในจังหวัดนราธิวาสที่ทหารเข้าไปอยู่ เพราะบางวัดมีเจ้าอาวาสรูปเดียวก็ต้องเอาไว้ หากไม่เอาเดียวชาวบ้านที่เป็นคนต่างศาสนาก็มาไล่

            แม้แต่ในวัดของอาตมา เมื่อ 3 -4 ปีที่แล้ว ก็มีเหตุการณ์ทหารก็มาเตือนให้หยุดบิณฑบาตรเราก็หยุดให้ ตอนหลังก็มาขออยู่ที่วัดเพื่อมาอารักขา อาตมาก็ยอม แต่จะกำหนดพื้นที่ให้อยู่  ปรากฎว่าทหารที่มาอยู่บางคน 7 โมงเช้าแล้วก็ยังไม่ตื่น อาตมาตอนนั้นเป็นช่วงเข้าพรรษาก็คิดว่าดีเหมือนกันมีทหารมาอยู่ เพราะบางทีเราทำวัตรเช้าวัตรเย็นสวดมนต์อยู่ก็เสียวหลังเหมือนกัน มาอยู่ก็ไม่เอาถ่านเพราะนายเขาไม่อยู่ มาอยู่กันเอง 5 -6 คน ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น อยู่ประมาณ 6 เดือนแล้วก็ออกไป ค่าน้ำค่าไฟไม่เสียให้สักบาท ขนเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้าไปใช้ในวัดเต็มไปหมด ค่าไฟขึ้นสูงลิ่ว  ส่วนหนึ่งท่านพระครูประโชติ ท่านรู้ข้อมูลบ้างก็เลยไม่เอา

            ที่นี้ชาวพุทธของเรา ในตลาดที่อาตมาอยู่ สมัยก่อนทั้งพุทธไทยและชาวไทยพุทธจีน เต็มตลาด พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ในตลาดเราแบ่งคนพุทธออกเป็น 2 พวกคน กลุ่มหนึ่งคนในพื้นที่ คือคนที่เกิดที่นั้น อีกกลุ่มคือ คนที่มาจากที่อื่นมาอาศัยทำมาหากิน มาค้าขาย มารับราชการเกษียนแล้วก็อยู่ตรงนั้น หรือบางรายก็มาจากสงขลา พอเกิดเหตุการณ์กลับหมด อยู่ไม่ได้ แต่คนกลุ่มนี้เขามีบ้าน เขามีญาติอยู่ในถิ่นเดิมที่เขามาก็ไม่เป็นไรมาก แต่อีกกลุ่มคือชาวพุทธที่เกิดที่นั้น มีบ้าน มีญาติ มีที่ดินอยู่ตรงนั้นก็จะต้องทนอยู่ บนความหวาดกลัว  ชาวบ้านมาเปิดใจกับอาตมา โดยเฉพาะคนกรีดยาง คนกรีดยางลำบาก เพราะมันต้องกรีดกลางคืน ไม่รู้จะเจออะไรบ้าง พวกเสือ งู สัตว์ไม่กลัว แต่กลัวเรื่องนั้นอย่างเดียว  จังหวัดนราธิวาสฝนตกบ่อย กลางคืนก็ไม่กล้าออกไปกรีดยาง กลางวันฝนตก ชีวิตก็ลำบาก ชาวบ้านจนจริง ๆ บางทีพระบิณฑบาตรมาหากของเหลือหรือบางที มีคนมาขอที่วัด เราก็ต้องให้ แต่เราต้องพิจารณาเป็นราย ๆไป  บางทีเราก็เอาไปแจกให้ทั้งชาวพุทธและคนมุสลิม ซึ่งลักษณะแบบนี้ท่านระครูประโชติท่านก็ทำ  เพราะชาวบ้านเขาทำมาหากินไม่ได้ ทั้ง ๆที่ในพื้นที่มีทรัพยากรที่ทำมาหากินได้  แต่ออกไปหากินไม่ได้ ออกไปกลางวันบางครั้งก็ไม่ทันเพื่อน

            ส่วนศพตอนนี้ 17.00 น.ต้องสวดให้เสร็จ อาตมาสังเกต ถ้าไปวัดไหนสวดกลางคืนไม่มีคนไปร่วมต้องสวดให้เสร็จก่อน 17.00 น. แล้วก็กลับหมดใ นวัดก็เหลือแต่พระและเจ้าภาพ 2 -3 คนเท่านั้น  แม้แต่เวียนเทียนบ่ายสามโมงก็เวียนกันแล้ว ถ้าชวนโยมมาเวียนกลางคืนไม่มีใครมา เวียนกันเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว

            คนทำบุญใส่บาตรก็ร่อยหรอ เหลือไม่กี่คน ก็อาศัยว่าเราก็ฉันไปตามมีตามได้ แต่ก็ไม่อดตายหรอก พออยู่ได้คือบางทีทหารฝ่ายปกครองก็มาเตือนให้หยุดบิณฑบาตร ซึ่งเขาก็มีฝ่ายข่าวเขา แต่ปกติเวลาอาตมาออกบิณฑิบาตรก็มีทหาร ฝ่ายปกครองคอยดูแล ติดตาม แต่ก็เสี่ยง  บางครั้งไม่บิณฑบาตรก็สงสารญาติโยมเขา และก็เป็นกิจของสงฆ์เรา เดียวนี้ก็มีแต่คนแก่ ๆใสบาตรต้องนั้งเก้าอี้ใส่ บางคนก็มีลูกหลานบ้าง เราไปพร้อมกับทหาร ตำรวจ แต่อาตมาจะบอกเจ้าหน้าที่ว่า อย่าเดินตามติด ๆ ให้อยู่ห่าง ๆ ก็พอ  ช่วงนี้ก็มีข่าว แต่บางวัดเขาก็ไม่หยุด เพราะหากหยุดก็สงสารญาติโยมชาวพุทธและทั้งพระเองก็ไม่รู้จะเอาอาหารที่ไหนมาฉัน

            วัดอาตมานี้เจอบ่อยทางทหารขอให้หยุดบิณฑบาตร สำหรับอาตมาแก้ปัญหาด้วยทำรถสาเล้งแล้วตั้งบาตรไว้ตรงนั้นแล้วให้ฆราวาสขับรถไป เพื่อให้ญาติโยมใส่บาตรกันแต่พระไม่ต้องไป  ก็พอแก้ปัญหาได้อยู่ บางวัดเป็นชุมชนไทยพุทธ 100% ปัญหาเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น  สุดท้ายสิ่งที่คาดหวังก็คือ อยากฝากถึงภาครัฐว่า คนในพื้นที่รอมากว่า 10 ปี ที่จะสร้างความเข้าใจระหว่างศาสนา ไม่ต้องการความรุนแรง อยากให้เข้าใจกัน รัฐจะทำอย่างไรก็ได้ให้พื้นที่เกิดความสันติ.. ”

          ด้าน พระเมธีธรรมาจารย์ เลขาธิการศูนย์พิทักษณ์พระพุทธศาสนา กล่าวว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3จังหวัดชายแดนภาคใต้ เท่าที่ฟังจากท่านพระครูขันติธรรมาธร เราไม่คิดว่า สิ่งนี้เกิดขึ้นในประเทศไทย ในผืนแผ่นดินไทย ไม่คิดว่าประเทศไทยจะมีเหตุการณ์แบบนี้ ท่านพระครูท่านเล่าให้เราฟังแล้วว่าตั้งแต่ปี 47 เป็นต้นมา ไม่มีความปลอดภัยใด ๆในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ไม่มีความปลอดภัยใด ๆ เลย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพระครูประโชติรัตนานุรักษ์ อาตมาคิดว่าเรายอมรับไม่ได้ เรานิ่งเฉยนิ่งดูดายไม่ได้แล้ว เพราะมันเกิดขึ้นตลอดเวลาและยาวนานมาเรื่อย ๆ ชาวพุทธได้แต่รอ หมายความว่า รอด้วยความหวังว่าเมื่อไร  3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะสงบกลับคืนมาเหมือนเดิม ถามท่านพระครูขันติธรรมาธรบอกว่าได้แต่รอ รอท่ามกลางไม่มีความหวังใด ๆเลย และพระเราก็ถูกฆ่าตายเรื่อย ๆ แบบนี้..”

       

Leave a Reply