วงเสวนายุวสงฆ์ร้อง “หยุดใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือทางการเมือง” ให้พระสงฆ์หันกลับมาเป็นอยู่กับชาวบ้าน

          เมื่อวานนี้ (13 พ.ย. 63) ที่ห้องประชุมคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ จัดงานเสวนา #ถ้าการเมืองดี “โลกและธรรมจะสัมพันธ์กันอย่างไร” ผู้ร่วมร่วมเสวนามี พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ พระมหาเมธี สิริเมโธ สามเณรสหรัฐ สุขคำหล้า และผศ.กริช ภูญียามา มีทั้งประชาชนทั่วไป ตลอดจนพระภิกษุร่วมรับฟังการเสวนาในครั้งนี้

             ผศ.กริช ภูญียามา กล่าวถึงควาสัมพันธ์กับรัฐและพระพุทธศาสนา กฎหมายปกครองคณะสงฆ์เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการตราพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.121 จนต่อมาเปลี่ยนเป็น พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 และถูกใช้เรื่อยมา สำหรับ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ฉบับนี้ ผศ.กริซ มองว่าโครงสร้างอาจมีการกดทับพระสงฆ์มากกว่าในอดีต อีกทั้งมีการแก้ไขหลายครั้งเพื่อต้องการให้คณะสงฆ์ไปอยู่ภายใต้โบราณราชประเพณี ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ  สำหรับกรณีที่มหาเถรสมาคมห้ามพระและสามเณร ยุ่งกิจกรรมการเมือง  ผศ.กริช มองว่า  “ เราต้องปฏิบัติกับพระเหมือนมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ควรจำกัดสิทธิเสรีภาพ ต้องยอมรับว่า พระก็เป็นพลเมือง เว้นแต่บางเรื่องที่สมควร แต่ไม่ใช่การจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ดังนั้น คำสั่งของเถรสมาคมที่จำกัดสิทธิในการออกมาชุมนุม จึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ..”

         ด้าน พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ กล่าวว่า ถ้าการเมืองดี คงไม่ต้องมีงานเสวนาในวันนี้ โดยได้ตั้งคำถามถึงบทบาทของภิกษุณี ว่าถ้าการเมืองดีคณะสงฆ์จะเห็นคุณค่าของสตรีมากกว่านี้ แต่สิ่งที่เป็นอยู่คือไม่เคยมีการให้บทบาทในการขับเคลื่อน ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาของการปกครองแบบเถรสมาคม ที่ต้องนำมาพูดถึงและได้รับการแก้ไขปรับปรุง แสดงให้เห็นว่าศาสนากับสังคมนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น แม้แต่ในกระบวนการบวชของพระ ก็มีเรื่องของการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ฝากให้พิจารณาให้ดีว่าเราจะอยู่ฝั่งใคร ความงอกงามของพระพุทธศาสนาจึงจะเกิดขึ้นจริง “..เพราะคณะสงฆ์ที่เข้มแข็งทุกวันนี้ มีแต่คณะสงฆ์ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองของมหาเถรสมาคม ดังนั้น หากหันกลับมาอยู่กับชุมชน พระพุทธศาสนาจะอยู่ได้และไปรอด เพราะพระพุทธศาสนาอยู่ได้เพราะชาวบ้าน..”

       ขณะที่ สามเณรสหรัฐ สุขคำหล้า กล่าวถึง ข้อเรียกร้องผู้ชุมนุม 3 ข้อ ที่คำว่าปฏิรูปนั้นไม่ใช่การล้มล้าง  “ หากจะหยุดปัญหาต้องเดินทางไปตามข้อเรียกร้องของนักศึกษา และควรแยกศาสนาออกจากรัฐ รวมทั้งหยุดใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือสร้างความแตกแยกและการโฆษณาชวนเชื่อ หากมีการปฏิรูปศาสนาคือควรมีการปฏิรูป พ.ร.บ.คณะสงฆ์ปี 2505 หรือยกเลิกไปเลย ..”

      ในขณะที่ พระมหาเมธี สิริเมโธ ตอบคำถามผู้ร่วมฟังว่า “ปัจจุบันคณะสงฆ์ตื่นรู้กันหมดแล้ว โดยเพราะพระภิกษุ -สามเณรที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยตื่นรู้กันหมดแล้ว แต่ท่านพูดไม่ได้ เพราะระบบของเรากดขี่อยู่ อาตมาจึงจำเป็นต้องออกมาพูดในวันนี้”

      เรื่องนี้มีการตั้งคำถามถึงการปฎิรูปคณะสงฆ์ที่ผ่านมาตั้งแต่ปีพุทธศาสตร์ 2557 ที่หลายท่านอาจมองว่าที่ผ่านมาคณะสงฆ์ก็มีการปฎิรูป แต่สังคมมองว่านั้นคือ “การปฎิรูปเพื่อกระชับอำนาจ” มิได้ปฎิรูปเพื่อเอื้อต่อพระธรรมวินัยหรือกระจายอำนาจการปกครองคณะสงฆ์แต่ประการใดไม่..

*************************

ขอบคุณข้อมูลข่าวและภาพ :  เดอะรีพอร์ตเตอร์

Leave a Reply