วันที่ 22 ธ.ค. 64 สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จลงพระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ประทานพระวโรกาสให้ บิชอปชูศักดิ์ สิริสุทธิ์ ประธานสภาประมุขบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย และคณะ ในนามชาวคริสต์คาทอลิกไทย เฝ้าถวายพระพรเนื่องในเทศกาลคริสต์มาสและขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2564
สภาประมุขแห่งบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย คริสตชนคาทอลิกในประเทศไทยเรียกว่า สภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งประเทศไทย เป็นองค์การปกครองสูงสุดของคริสตจักรโรมันคาทอลิกในประเทศไทย ประกอบด้วยมุขนายกชาวไทยซึ่งเป็นประมุขเขตมิสซังต่าง ๆ ทั่วประเทศไทยทั้งสิบเอ็ดมิสซัง
ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ได้เข้ามาเผยแพร่และปฏิบัติงานต่าง ๆ ในประเทศไทยมาเป็นเวลากว่า 450 ปี กิจการพระศาสนาได้เจริญพัฒนาขึ้นเป็นลำดับ และมีประชาชนที่เลื่อมใสและนับถือศาสนานี้อยู่ทั่วไปในทุกภาคของประเทศไทย ด้วยเหตุนี้ เพื่อความสะดวกและเพื่อความก้าวหน้าในกิจการต่างๆ ของพระศาสนา จะสามารถดำเนินไปด้วยดีและเรียบร้อย จึงเริ่มมีการรวมกลุ่มกันตามดำริของที่ประชุมสังคายนาวาติกันที่ 2 ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1964 ที่เชิญชวนบรรดาพระสังฆราช ซึ่งเป็นประมุขของแต่ละสังฆมณฑลในประเทศใดประเทศหนึ่ง ให้รวมกลุ่มกันในรูปแบบของสภา นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จึงเริ่มมีการรวมกลุ่มกันของบรรดาประมุขของสังฆมณฑลในประเทศไทยขึ้น โดยเรียกว่า “สภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งประเทศไทย” (สสท.) ใช้ชื่อภาษาอังกฤษ คือ Catholic Bishops’ Conference of Thailand ชื่อย่อ “CBCT”
สภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งประเทศไทย จึงเป็นสภาอันมั่นคงที่ตั้งขึ้นโดยได้รับอนุมัติจากสันตะสำนัก (นครรัฐวาติกัน) ในปี 1965 ซึ่งบรรดาพระสังฆราชมารวมกลุ่มปรึกษาหารือ และร่วมมือกันในการดูแลอภิบาลคริสตชน เผยแผ่ศาสนา และปฏิบัติงานตามกิจการทางศาสนา ได้แก่ ด้านศาสนา การศึกษาอบรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม การสังคม และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การสุขภาพอนามัย และเทคโนโลยีสารสนเทศ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สุขสำหรับบรรดาคริสตชนและเพื่อนพี่น้องชาวไทย สภาพระสังฆราชฯ ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการว่าเป็นองค์การพิเศษทางศาสนา จากกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ และกรมการศาสนาได้ขอให้เปลี่ยนชื่อจากเดิม “สภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งประเทศไทย” มาเป็น “สภาประมุขแห่งบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย” โดยออกหนังสือรับรองให้เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) ในสมัยพลเอก ปิ่น มุทุกันท์ เป็นอธิบดี ขณะนั้นสำนักงานทำการตั้งอยู่ที่อาคารแพร่ธรรม ซอยโอเรียนเต็ล ถนนเจริญกรุง 40 บางรัก ต่อมามีการขยายหน่วยงานเพิ่มขึ้น จึงทำให้สถานที่ไม่เพียงพอต่อการดำเนินงาน ทางอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ โดย พระคาร์ดินัล ไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู ได้เล็งเห็นถึงความจำเป็นดังกล่าวจึงได้มอบอาคาร 2 หลังตั้งอยู่ที่ซอยนาคสุวรรณ ถนนนทรี ใกลักับสำนักงานเขตยานนาวา ซึ่งมีเนื้อที่มากกว่าที่เดิม และสามารถรองรับหน่วยงานต่างๆ ของสภาฯ ได้ทั้งหมด ดังนั้นในปี ค.ศ. 1996 สภาฯ จึงได้เริ่มย้ายสำนักงานมาอยู่ที่ซอยนาคสุวรรณ ถนนนนทรี แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพฯ โดยอาคารเลขที่ 122-122/1 เป็นอาคารทำการของสำนักงานโคเออร์และสื่อมวลชนคาทอลิกแห่งประเทศไทย และอาคารเลขที่ 122/6-7 เป็นอาคารทำการของสำนักเลขาธิการสภาฯ และหน่วยงานต่างๆ ต่อมาในปี ค.ศ. 2002 คณะกรรมการบริหารงานของสภาฯ ได้มีดำริที่จะให้หน่วยงานภายใต้สังกัดสภาพระสังฆราชฯ ได้มาอยู่รวมกัน พระคาร์ดินัล ไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู จึงได้มอบอาคารสำนักงานซึ่งเดิมเป็นโพลีคลินิก เป็นอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ 10 ชั้น ให้กับสภาพระสังฆราชฯ และในปี ค.ศ. 2003 ทุกหน่วยงานภายใต้การดำเนินงานของสภาพระสังฆราชฯ จึงได้ย้ายเข้ามาอยู่ภายในอาคารสำนักงานเลขที่ 122/11 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
Leave a Reply