สกู๊ปพิเศษ : ส่องพัฒนาการ “มจร” จากยุคก่อตั้งสู่ยุค “พุทธนวัตกรรม” สอดรับกับ “SDGs” ของ UN.!! ระหว่างวันที่ 8 -11 ธันวาคม 2565 นี้ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) มีงานประสาทปริญญา โดยปีนี้ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จมาเป็นประธานเฉพาะวันแรกคือวันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม 2565 ในการประสาทปริญญาให้กับผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท ปริญญาเอก สถาบันสมทบ และผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับดุษฎีกิตติมศักดิ์ ส่วนในวันที่สองทรงมอบหมายให้ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรรมการมหาเถรสมาคม ปฏิบัติหน้าที่แทนในการประสาทผู้สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาทุกระดับชั้น มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นสถาบันระดับอุดมการศึกษาไทย สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ดังปรากฏในคำประกาศพระราชปรารภในการก่อพระฤกษ์สังฆเสนาสน์ราชวิทยาลัย พ.ศ 2439 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว องค์รัชกาลที่ 5 ความตอนหนึ่งว่า “จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งวิทยาลัยที่เล่าเรียนพระไตรปิฎกแลวิชาชั้นสูงขึ้น 2 สถาน ๆ หนึ่งเป็นที่เล่าเรียนของพระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ได้ตั้งไว้ที่วัดบวรนิเวศวรวิหาร พระอารามหลวง พระราชทานนามว่า มหามกุฎราชวิทยาลัย …อีกสถานหนึ่งเป็นที่เล่าเรียนของพระสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ได้ตั้งไว้ที่วัดมหาธาตุ ราชวรมหาวิหาร พระอารามหลวงนี้ มีนามว่ามหาธาตุวิทยาลัย ได้เปิดการเล่าเรียนแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน รัตนโกสินทร์ ศก 108 สืบมา แต่สังฆิกเสนาสน์สำหรับมหาธาตุวิทยาลัยนี้ยังไม่เป็นที่สมควรแก่การเล่าเรียน… เมื่อการบำเพ็ญพระราชกุศลส่วนนั้นเสร็จแล้วจะได้ทรงพระราชอุทิศถวายถาวรวัตถุนี้เป็นสังฆิกเสนาสน์สำหรับมหาธาตุวิทยาลัย เพื่อเป็นที่เล่าเรียนพระปริยัติสัทธรรมแลวิชาชั้นสูงสืบไปภายหน้า พระราชทานเปลี่ยนนามใหม่ว่า มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เพื่อให้เป็นที่เฉลิมพระเกียรติยศสืบไป…” มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กว่าจะมีวันนี้ จนเป็นที่ยอมรับจากรัฐบาล คณะสงฆ์ไทยและนานาชาติ ผ่านร้อนผ่านหนาว ล้มลุกคลุกคลาน ผ่านเหตุการณ์มาแล้วมากมาย ปัจจุบันมีการจัดการศึกษาในประเทศประกอบด้วย 11 วิทยาเขต 28 วิทยาลัยสงฆ์ 2 หน่วยวิทยบริการ และในต่างประเทศมีสถาบันสมทบอีก 5 แห่ง มีทั้งหลักสูตรภาษาไทยและภาคอังกฤษ มีนิสิตทั้งในระดับปริญญาตรี -โท -เอก มีจำนวนทั้งสิ้น 19,661 รูป/คน ประกอบด้วยนิสิตปริญญาตรีจำนวน 14,253 รูป/คน นิสิตปริญญาโท 3,373 รูป/คน นิสิตปริญญาเอก 2,035 คน ในจำนวนนี้มีนิสิตนานาชาติจำนวน 1,300 รูป/คน จาก 28 ประเทศ สำหรับพัฒนาการความเป็นมาของมหาวิทยาลัยสงฆ์สังกัดฝ่ายมหานิกายแห่งนี้ ผ่านมาแล้ว แบ่งออกได้ 6 ยุค คือ 1.ยุคการก่อตั้งมหาวิทยาลัย (2430) พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสถาปนามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยขึ้น โดยให้ย้ายการสอนพระปริยัติธรรมจากศาลาบอกพระปริยัติธรรมภายในวัดพระศรีรัตนศาสดารามไปตั้งที่วัดมหาธาตุ เพื่อเป็นที่เล่าเรียนของพระสงฆ์ฝ่ายมหานิกายและคฤหัสถ์ เมื่อ พ.ศ.2430 และโปรดให้เรียกว่า “มหาธาตุวิทยาลัย” ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดให้คิดแบบสร้างถาวรวัตถุ เรียกว่า “สังฆเสนาสน์ราชวิทยาลัย” ขึ้นในวัดมหาธาตุ เพื่อใช้เป็นสถานที่บำเพ็ญพระราชกุศลพระศพสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ และทรงประสงค์จะอุทิศถวายถาวรวัตถุนี้เป็นสังฆิกเสนาสน์สำหรับมหาธาตุวิทยาลัย เพื่อเป็นที่เล่าเรียนพระปริยัติสัทธรรมและวิชาชั้นสูง โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางศิลาก่อพระฤกษ์ เมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2439 และได้พระราชทานเปลี่ยนนาม จาก “มหาธาตุวิทยาลัย” เป็น “มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย” เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศของพระองค์ จนกระทั่งวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2490 พระมหาเถรานุเถระ ฝ่ายมหานิกายจำนวน 57 รูป มีพระพิมลธรรม (ช้อย ฐานทัตตเถร) เป็นประธานได้ประชุมกัน ณ ตำหนักสมเด็จ วัดมหาธาตุฯ ประกาศให้มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ดำเนินการจัดการศึกษาในรูปมหาวิทยาลัย ตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้เปิดการศึกษาในรูปแบบมหาวิทยาลัย ตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2490 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม แม้มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยจะได้เปิดการศึกษาในรูปแบบมหาวิทยาลัยตั้งแต่ พ.ศ. 2490 เป็นต้นมา ทางบ้านเมืองก็มิได้รับรองสถานภาพให้เป็นมหาวิทยาลัยตามกฎหมาย 2.ยุคปรับปรุงและขยายการศึกษา (2526 ) พุทธศักราช 2512 คณะสงฆ์ โดยมหาเถรสมาคม ได้ออกคำสั่งมหาเถรสมาคม เรื่อง ”การศึกษาของมหาวิทยาลัย พ.ศ. 2512 ” และ เรื่อง ”การศึกษาของสงฆ์ พ.ศ. 2512 ” คำสั่งทั้ง2 ฉบับนี้ ส่งผลให้มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มี สถานะเป็นสถาบันการศึกษาของคณะสงฆ์ไทย โดยสมบูรณ์ พุทธศักราช 2521 เริ่มขยายการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาไปยังส่วนภูมิภาค เริ่มตั้งวิทยาเขตแห่งแรกที่ จังหวัดหนองคาย และได้ขยายไปยังจังหวัดอื่นๆ ที่มีความพร้อมด้านบุคลากร งบประมาณ อาคารสถานที่ ปัจจุบันมหาวิทยาลัยมีวิทยาเขตในกำกับดูแล ทั่วประเทศ 10แห่ง วิทยาลัยสงฆ์ 4 แห่ง และ ศูนย์การศึกษา 1 แห่ง ยุคนี้กลายเป็นยุคเบ่งบานของการกระจายการศึกษาจากกรุงเทพ สู่ ภูมิภาค ของ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 3.ยุครับรองปริญญาบัตรและสถานะของมหาวิทยาลัย (2540) ปีพุทธศักราช 2527 โดยการนำของ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินการ เสนอร่างพระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะ ผู้สำเร็จวิชาการพระพุทธศาสนา โดยรัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงลงพระปรมาภิไธย แล้วประกาศใช้เป็นกฎหมายตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2527 เป็นต้นมา มีผลทำให้ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยมีศักดิ์และสิทธิแห่งปริญญาเช่นเดียวกับผู้สำเร็จการศึกษาในระดับเดียวกันจากสถาบันการศึกษาอื่น ๆ ที่รัฐให้การรับรอง พุทธศักราช 2540 แม้มหาวิทยาลัยจะมีพระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะของผู้สำเร็จวิชาการพระพุทธศาสนา พ.ศ. 2527 แล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีการรับรองสถานภาพ ความเป็นนิติบุคคลของมหาวิทยาลัย จึงทำให้มหาวิทยาลัยไม่มีบุคลากร งบประมาณแผ่นดินเข้ามาสนับสนุนที่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริหารในการที่จะขยายการจัดการศึกษาในระดับปริญญาโท และปริญญาเอก หรือนานาชาติ ตามวัตถุประสงค์และนโยบายของมหาวิทยาลัยได้ รัฐบาลภายใต้การนำของ ชวลิต ยงใจยุทธ ยุคนั้นจึงตราพระราชบัญญัติ เพื่อรับรองความเป็นนิติบุคคลของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เหมือนกับมหาวิทยาลัยทั่วไป 4.ยุคเข้าสู่การเป็นศูนย์กลางมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนานานาชาติ (2541-2558) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 ที่มหาวิทยาลัยได้รับการรับรองสถานะให้เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐเป็นต้นมา มหาวิทยาลัยได้ดำเนินการพัฒนา ทั้งในเชิงกายภาพ (Hardware) และเชิงคุณภาพ (Software) อีกทั้งเตรียมคนเพื่อรองรับการพัฒนามหาวิทยาลัยเข้าสู่การเป็นศูนย์กลางการศึกษาพระพุทธศาสนาทั้งในระดับชาติและนานาชาติอย่างต่อเนื่อง อาทิ พุทธศักราช 2542 การเตรียมพื้นที่รองรับการเป็นศูนย์กลางมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนานานาชาติ นายแพทย์รัศมี คุณหญิงสมปอง วรรณิสสรได้ถวายที่ดินจำนวน 84 ไร่ 1 งาน 37ตารางวา ที่ตำบลลำไทร อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยาแก่มหาวิทยาลัย รวมกับที่ดินที่มหาวิทยาลัยได้ดำเนินการจัดซื้อเพิ่มเติม ปัจจุบันมีเนื้อที่ทั้งหมด 323ไร่ พุทธศักราช 2544 ขยายการศึกษาไปสู่ต่างประเทศ โดยรับวิทยาลัยพุทธศาสนาดองกุก ชอนบอบ ประเทศเกาหลีใต้เข้าเป็นสถาบันสมทบเป็นแห่งแรก ปัจจุบันมีสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ อย่างน้อย 7 แห่ง พุทธศักราช 2551 การขยายตัวของมหาวิทยาลัยนั้น ไม่ได้จำกัดวงอยู่ในพื้นที่ของภาษาไทยเท่านั้น ด้วยเหตุที่มหาวิทยาลัยได้รับการยอมรับจากชาวพุทธทั่วโลก จึงเป็นเหตุให้มหาวิทยาลัยจำเป็นต้องเปิดหลักสูตรนานาชาติ เพื่อรองรับกลุ่มบุคคลที่เป็นบรรพชิตและคฤหัสถ์จากทั่วโลกมาศึกษา ณ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยได้อนุมัติโครงการวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติเพื่อเป็นที่ศึกษาของบรรพชิตและคฤหัสถ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ พุทธศักราช 2551 จัดตั้งสมาคมมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนานานาชาติ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) อนุมัติให้ดำเนินการจัดตั้งสมาคมวิทยาลัยพระพุทธศาสนานานาชาติ โดยมีมหาวิทยาลัย และวิทยาลัยพระพุทธศาสนาทั่วโลกเข้าเป็นสมาชิกจำนวน 117 สถาบัน ทั้งนี้ ได้มีการประชุมอธิการบดีและการสัมมนาวิชาการ ระดับนานาชาติ ครั้งที่ 1 ของสมาคมมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนานาชาติ ระหว่าง วันที่ 13-15 กันยายน พ.ศ. 2551 โดยมีอธิการบดี นักวิชาการทั่วโลกเข้าร่วมประชุมกว่า 1,700 รูป/คน พุทธศักราช 2552 การจัดสมาคมสภาสากลวันวิสาขบูชาโลก มหาวิทยาลัยร่วมกับองค์กรพระพุทธศาสนาทั่วโลกได้ร่วมกันลงนามจัดตั้งสมาคมสภาสากลวันวิสาขบูชาโลกขึ้น เพื่อกระตุ้นให้องค์กรพระพุทธศาสนาได้ร่วมกันเฉลิมฉลองวันวิสาขบูชาโลกในฐานะวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า และธำรงไว้ซึ่งความเป็นเอกสาร และความสามัคคีของกลุ่มชาวพุทธทั่วโลก โดยให้มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ ณ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ทั้งนี้ องค์การสหประชาชาติ (UN) มีมติตั้งสภาสากลวันวิสาขบูชาโลก และการจัดงานวิสาขบูชานี่เอง กลายเป็น “ประตูบานแรก” ให้ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นที่รู้จักของประมุขสงฆ์ แกนนำชาวพุทธ กลายเป็น “พยัคฆ์ติดปีก” ในเวทีชาวพุทธนานาชาติ นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2556 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้ตั้ง สถาบันภาษา การจัดตั้งศูนย์อาเซียนศึกษา และ การจัดตั้งวิทยาลัยพระธรรมทูต เพื่อรองรับการเป็น “มหาวิทยาลัยพุทธศาสนานานาชาติ” อีกด้วย 5.ยุคพัฒนาความรุ่งเรืองของการเป็นศูนย์กลางของมหาวิทยาลัย (2559 -2564 ) ยุคนี้เป็นยุครอยต่อระหว่างพระพรหมบัณฑิตและพระธรรมวัชรบัณฑิต เป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน ส่วนใหญ่เน้นการปรับปรุงภายในและการสร้างมหาวิทยาลัยให้เป็นสีเขียว “เจ้าคุณประสาร” หรือ พระราชวัชรสารบัณฑิต รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเคยสัมภาษณ์สื่อมวลชนไว้ถึงผลงานเด่นของพระธรรมวัชรบัณฑิตไว้ว่า “ผลงานของท่าน 4 ปีที่ผ่านมาที่เห็นชัดคือ หนึ่ง เรื่องการบริหารภายใน เรื่องแท่งการบริหาร อาตมาคิดว่ามันหมุนเกลียวมากขึ้น มันมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการบริหารจัดการภายในกระชับมากขึ้น ในการบริหารงานบุคคล แต่งตั้งโยกย้ายหรือให้คุณให้โทษ สอง แท่งวิชาการ ถามว่าตลอด 4 ปี ที่ท่านเข้ามาบริหาร นิสิตเราลดลงไหม คุณภาพครูอาจารย์ลดลงไหม เรื่องนิสิตของเราอาจลดลงบ้าง แต่ไม่เยอะในขณะที่มหาวิทยาลัยอื่น ๆ อยู่ในขั้นวิกฤติ เราอยู่ได้ ส่วนครูบาอาจารย์ ท่านก็พยายามเสริมให้มีคุณภาพเต็มที่ เพื่อที่จะได้ผลิตบัณฑิตออกมาอย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ สาม ตัวชี้วัดอีกอันด้านต่างประเทศ สถาบันสมทบเราในต่างประเทศมี 6 แห่ง ตรงนี้ไม่ธรรมดา หากเขามอง มจร. ไม่มีคุณภาพเขาคงไม่ยอมรับเรา แต่เวลานี้ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาสถาบันสมทบทั้ง 6 แห่ง ยอมรับพระธรรมวชิรบัณฑิต สี่ การสนองงานคณะสงฆ์ เป็นสิ่งที่เราคิดว่าเรากลัว เช่นคำถามที่ว่า บุคลิกภาพของท่านจะเข้ากับคนอื่นได้หรือไม่ แต่กลับราบรื่น ในการทำงานสนองงานให้กับคณะสงฆ์ จนคณะสงฆ์เองยอมรับ ท่านก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ในคณะสงฆ์ ส่วนเรื่องที่ ห้า เรื่องภูมิสถาปัตย์ เรื่องปรับปรุงภูมิทัศน์ การก่อสร้าง ท่านมีผลงานเด่นเรื่องหนึ่งคือ “green university” อันนี้คนอาจจะพูดว่า มีแต่ปลูกต้นไม้ ความจริงไม่ใช่ แต่หมายถึงให้วัดให้มหาวิทยาลัย มีความร่มรื่น เป็นรมณียสถาน ให้เป็นสถานที่สร้าง “ปัญญาและศรัทธา” ควบคู่กันไป รวมทั้งให้วิทยาเขตต่าง ๆ มุ่งเน้นเรื่องเหล่านี้ด้วย และกำชับให้วิทยาเขตต่าง ๆ มีคนเฝ้าคนดูแลอย่างทั่วถึง ส่วนอีกเรื่องคือ ไอที ท่านก็เน้น แต่ตรงนี้เรามองไม่เห็นเพราะมันเป็นนามธรรม แม้แต่เรื่องการก่อสร้างท่านก็ให้นโยบายฝ่ายแผนว่าต้องให้ความเป็นธรรม มีธรรมาภิบาล วิทยาลัยสงฆ์ใดที่ตั้งขึ้นมาใหม่ ยังไม่มีอาคาร ต้องเร่งเข้าไปช่วย ต้องเข้าไปดำเนินการ ส่วนวิทยาลัยเขตอื่น ๆที่มีอาคารพร้อมอยู่แล้ว ต้องพิจารณาเป็นรายกรณี ๆ ไป..” 6.ยุคมหาวิทยาลัยที่จัดการศึกษาพระพุทธศาสนา บูรณาการกับศาสตร์สมัยใหม่ ที่สร้างนวัตกรรมเพื่อพัฒนาจิตใจและสังคม (2566 -2570) ในแผนการพัฒนามหาวิทยาลัยได้กำหนดวิสัยทัศน์ไว้ว่าเป็น “มหาวิทยาลัยที่จัดการศึกษาพระพุทธศาสนา บูรณาการกับศาสตร์สมัยใหม่ ที่สร้างนวัตกรรมเพื่อพัฒนาจิตใจและสังคม” พุทธนวัตกรรม หมายถึง สิ่งที่ถูกปรับปรุงหรือพัฒนาขึ้นใหม่ โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านผลิต กระบวนการ การให้บริการและการบริหารจัดการ เพื่อนำไปสู่การสร้างคุณค่า การเพิ่มมูลค่า การสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ในด้านสุขภาพใจ สุขภาพกาย ร่วมถึงอาชีพและชุมชน ซึ่งการจะให้บรรลุตามวิสัยทัศน์นี้ มจร ได้กำหนดยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนไว้ 5 ยุทธศาสตร์หลักคือ หนึ่ง จัดการศึกษา พัฒนาบัณฑิต ให้มีสติปัญญาและคุณธรรม สอง พัฒนางานวิจัยและพุทธนวัตกรรมเพื่อพัฒนาจิตใจและสังคม ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ สาม บริการวิชาการด้านพระพุทธศาสนา เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนชุมชน วัด และสังคมให้เกิดสันติสุข สี่ อนุรักษ์ สืบสาน ส่งเสริม พระพุทธศาสนาศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างยั้งยืน และห้า พัฒนาการบริหารจัดการองค์กรตามหลักธรรมมาภิบาล ตรงนี้สอดคล้องกับคำพูดของ พระราชวัชรสารบัณฑิต รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยที่ว่า “มจร กำลังจะจัดทำแผนระยะยาว 10-15 ปี คือ เรามีแผนระยะสั้น 1 ปี ระยะกลาง 5 ปี แล้ว แต่แผนระยะยาวยังไม่มี คาดว่าต้นปีหน้า จะเริ่มรับฟังจากทุกภาคส่วน มจร ในฐานะมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ รัฐบาลท่านมีแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี เราก็ต้องมีแผนสอดคล้องกับนโยบายรัฐ สำหรับแผนระยะ 5 ปี คือ ตั้งแต่ปี 2566 -2570 เรามีเป้าหมาย พัฒนาไปสู่ “มหาวิทยาลัยที่จัดการศึกษาพระพุทธศาสนา บูรณาการกับศาสตร์สมัยใหม่ สร้างนวัตกรรมเพื่อพัฒนาจิตใจและสังคม” ซึ่ง พระธรรมวัชรบัณฑิต อธิการบดีได้ให้คำจำกัดความของ “พุทธนวัตกรรม” มี 5 ประการคือ พัฒนากาย วาจา ใจ พัฒนาชุมชน พัฒนาอาชีพ ซึ่ง มจร จะตอบโจทย์ตรงนี้ และตรงนี้ก็สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDGsของสหประชาชาติที่มี 17 เป้าหมาย มจร นำมา 3 ข้อ คือการศึกษาที่เท่าเทียม การลดความเหลื่อมล้ำ และการสร้างสังคมสงบสุข ไม่แตกแยก ซึ่งในทางปฏิบัติ เราทำอย่างไรจึงตระหนักรู้ว่าการเดินไปข้างหน้า จะต้องเดินตามข้อตกลง เป็นไปในหลักการและประเมินจากความรู้ความสามารถที่ทำมา ฉะนั้นต่อไปนี้แผนจะต้องเป็นตัวกกำหนดการก้าวย่างในทุกส่วนของมหาวิทยาลัย เป็นกรอบให้ปฏิบัติตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามแผนที่วางกรอบเอาไว้ ในแผน 13 เป็นแผนที่รับฟังและกลั่นกรองมาจากประชาคมชาว มจร อย่างแท้จริง ประชาคมมีส่วนในการยกร่างและทำประชาพิจารณ์ก่อนเข้าสภามหาวิทยาลัย ซึ่งตอนนี้ถือว่าเป็นแผนแม่บท ที่ทางวิทยาเขต ก็กำลังทำแผนพัฒนาของเขาเองให้สอดคล้องกับส่วนกลาง วิสัยทัศน์ไม่จำเป็นต้องเหมือนเราแต่ต้องสอดคล้องกันเพื่อส่งเสริม สนับสนุนกับแผนทางมหาวิทยาลัย..” มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย สถาปนาโดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเพื่อเป็นมหาวิทยาลัยเป็นสถานที่ เล่าเรียนพระไตรปิฎกแลวิชาชั้นสูงขึ้น ของพระสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตั้งแต่ยุคก่อตั้งจนถึงปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการมาต่อเนื่อง แม้บางยุคอาจจะมีปัญหาติดขัดบ้าง แต่ด้วยความตั้งใจและเสียสละของพระบุรพาจารย์ฝ่ายมหานิกายยุคก่อนที่มี “ปณิธานไม่เปลี่ยนแปลง” จนทำให้ปัจจุบันมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเป็นที่ยอมรับทั้งภายในประเทศและนานาชาติ ดังภาพที่ปรากฎอันเป็นที่ประจักษ์ ทั้งการจัดงานวิสาขบูชาโลก งานประสาทปริญญา รวมทั้งการที่คณะสงฆ์ ชาวพุทธ และศาสนาอื่น ๆ มาเยือนผูกสัมพันธ์ต่อเนื่องไม่ขาดสาย.. จำนวนผู้ชม : 311 Leave a ReplyFacebook Comments More Articles By the same author ในหลวง – พระราชินี เสด็จฯ บำเพ็ญพระราชกุศลในการพระราชพิธีสงกรานต์ อุทัย มณี เม.ย. 15, 2024 วันนี้ (๑๕ เม.ย. ๒๕๖๗) เวลา ๑๐.๒๐ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว… พระพรหมบัณฑิตมส.ร่วมงานการประชุมผู้นำศาสนาสากล ณ กรุงวาติกัน อุทัย มณี มี.ค. 08, 2019 พระพรหมบัณฑิต กรรมการมหาเถรสมาคม เข้าร่วมประชุมผู้นำศาสนาสากล… วันนี้ครบ 254 ปี แห่งการสถาปนากรุงธนบุรี : ในหลวง-พระราชินี เสร็จถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” อุทัย มณี ธ.ค. 28, 2021 วันที่ 28 ธันวาคม 64 วันนี้เป็นวันคล้ายวันปราบดาภิเษกสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช… รับฟรี! ผลผลิตบูธมหาดไทยปันสุขอิ่มบุญ อิ่มกาย อิ่มใจได้สมทบทุนเล่าเรียนหลวงพระสงฆ์ไทย อุทัย มณี ก.ย. 29, 2022 รับฟรี! ผลผลิตบูธมหาดไทยปันสุขคึกคัก อิ่มบุญ อิ่มกาย อิ่มใจ… “มหานิยม” ตั้งกระทู้ถาม “บิ๊กตู่” ปมแต่งตั้งเจ้าอาวาสวัดหลวง 50 แห่ง อุทัย มณี ก.พ. 22, 2022 เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2565 ดร.นิยม เวชกามา ส.ส. จังหวัดสกลนคร… ฝันถึง “สมเด็จป๋า” วัดพระเชตุพนฯ อุทัย มณี ก.ค. 28, 2021 ในฐานะ “คอลัมนิสต์” ศาสนา ในฐานะสื่อมวลชนที่เกาะติดสถานการณ์ของคณะสงฆ์มาต่อเนื่อง… ภาพพิธีประกาศสถาปนา “พระพรหมดิลก” หลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ อุทัย มณี มี.ค. 18, 2023 เมื่อวันเสาร์ที่ 18 มีนาคม 2566 ตามที่เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่พระบรมราชโองการ… คุยการเมืองกับ..ตำนานพระย่ามแดง “เจ้าคุณโชว์” อุทัย มณี ธ.ค. 21, 2018 "..อาตมาเริ่มเข้าสู่การเมืองโดยการเรียกร้องเพื่อพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ปี… นิพิฏฐ์ เลือกข้าง ว.วชิรเมธี อัดพวกฟังไม่ครบถ้วน ถ้าไม่ปกป้องศาสนา ก็อย่ามาย่ำยี อุทัย มณี ต.ค. 18, 2024 วันที่ 18 ตุลาคม 2567 นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตส.ส.พัทลุง หลายสมัย… Related Articles From the same category ในหลวงโปรดเกล้า ฯ เชิญภัตตาหารเพลและสิ่งของถวายแด่พระภิกษุ-สามเณร “ผู้สอบบาลีสนามหลวง” วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๕ เวลา ๑๐.๐๐ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว… ป.ป.ช. ฟัน คดี “เงินทอนวัด” 8 สำนวนรวด พ่วง พระภิกษุด้วย ป.ป.ช.แถลงมติชี้มูลอาญา 'นพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์' อดีตผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ-พวก… “ธนกร” ยกสื่อเทศปีนรั้วรายงานข่าวเหตุกราดยิงหนองบัวลำภู แนะสื่อนำพุทธธรรมสื่อสารสร้างสันติสุข "ธนกร" ยกสื่อเทศปีนรั้วรายงานข่าวเหตุกราดยิงหนองบัวลำภู… ข่าวดี!! “สำนักเรียนบาลี” แม่กองบาลีสนับสนุนทุนฉลองเปรียญฟรี?? วันที่ 29 มิ.ย. 67 มีคำประกาศจาก สำนักงานแม่กองบาลีสนามหลวง… บุคลากร ร.ร.พระปริยัติธรรมใจเย็นๆ! กมธ.ศาสนาฯสภาฯแจ้งปลัดคลังกำลังพิจารณาจัดสรรงบฯให้อยู่ เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2565 เวลา 11.30 น. ณ ห้องจัดเลี้ยง 102 – 104 ชั้น 1 (โซนกลาง)…
Leave a Reply