วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 หลังจาก ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.บรรจบ บรรณรุจิ ราชบัณฑิต ได้เขียนเล่าความเป็นมาของคำว่า พุทโธ เม นาโถ ธมฺโม เม นาโถ สงฺโฆ เม นาโถ ซึ่งเป็นคำที่นิยมแพร่หลายในการขับเคลื่อน “ธรรมนาวาวัง” ล่าสุด เฟชบุ๊ค PM-Narin Narinto ซึ่งเป็นเฟชส่วนตัวของ พระมหานรินทร์ นรินฺโท ป.ธ.9 เจ้าอาวาสวัดไทยลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา นักวิพากษ์สังคมสงฆ์ชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความว่า
โอละพ่อ ! บรรจบแฉเอง “พุทโธ เม นาโถ ฯลฯ” ไม่มีในพระบาลีไตรปิฎก แต่เป็นหนังสือชั้น “อรรถกา-ฎีกา” เพิ่งแต่งขึ้นมาใหม่ ภายหลังพุทธกาลนานถึง 1000 ปี แถมคำแปลก็ไม่ตรงตามต้นฉบับ พระต้นแปลเสริมเอาเอง เก่งจังเลย
อา..แล้วท่านศาสตราจารย์พิเศษ บรรจบ บรรณรุจิ ป.ธ.9 ราชบัณฑิต ซึ่งในสาย มจร. ก็เชื่อกันว่าท่านมีความรู้ในพระไตรปิฎกดีมากคนหนึ่ง ส่วนเรื่องนิสัยส่วนตัวจะเป็นอย่างไรนั้นก็อย่าไปใส่ใจ เพราะสันดานคนเรามันเปลี่ยนกันไม่ได้ ก็ได้ทำงานอย่างสมภูมิมหาเปรียญเก้า ซึ่ง ณ วันนี้ มีคำเฉลยปัญหาว่าด้วยบทนมัสการพระรัตนตรัย ซึ่งทางมหาเถรสมาคม ได้ออกมติ พิเศษ 3/2568 รับรองให้ใช้บทนมัสการพระรัตนตรัยไปทั่วราชอาณาจักร โดยออกเป็นหนังสือเวียนและเป็นมติด่วนพิเศษอีกด้วย ก็เลยทำให้เกิดคำถามเซ็งแซ่ขึ้นมาว่า สำคัญและเร่งด่วนอย่างไร

โดยท่านศาสตราจารย์พิเศษ ดร.บรรจบ บรรณรุจิ ราชบัณฑิต ได้เรียบเรียงที่ไปที่มาของบทสรรเสริญพระรัตนตรัยทั้งหลายประดามีในพระไตรปิฎก อรรถกถา และฎีกา ประมวลมาแล้ว กลับไม่พบว่ามีบทนมัสการพระรัตนตรัย “พุทโธ เม นาโถ ธัมโม เม นาโถ สังโฆ เม นาโถ” ในพระไตรปิฎกเลย พบแต่ในหลักฐานชั้นหลัง เป็นหนังสือยุคอรรถกถา-ฎีกา ประมาณ พ.ศ.1000 คือหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปนานถึง 1000 ปีแล้ว จึงมีคนแต่งบทนี้ขึ้นมา เรียกตามภาษาสายพุทธวจนก็คือว่า เป็นคำแต่งใหม่
ใช่แต่เท่านั้น นอกจากจะเป็นคำแต่งใหม่แล้ว พระต้น (ทวีวัฒน์ จารุวณฺโณ) หรือ พระราชญาณวัชรชิโนภาส ซึ่งเป็นศาสดาสายธรรมนาวาวัง ยังได้แปลบท พุทโธ เม นาโถ ฯลฯ เสริมเข้าไปด้วยว่า “อันประเสริฐ” ซึ่งถือว่า “แปลเกิน ” คือเสริมเอาเอง เพราะคำว่า นาโถ นั้น แปลได้เพียง เป็นที่พึ่ง เท่านั้น ไม่มี “วโร-วรํ” อย่างใดทั้งสิ้น แล้วถามว่า พระต้นเอาภูมิปัญญาด้านบาลีที่ไหนมาแปล นาโถ ว่า เป็นที่พึ่งอันประเสริฐนี่จึงเป็นทั้งคำแต่งใหม่และคำแปลใหม่
เทียบกับการกรวดน้ำ ซึ่งพระต้นได้อ้างพระไตรปิฎกยืนยันว่า การกรวดน้ำไม่มีในพระไตรปิฎก เป็นประเพณีโบราณที่ไม่มีในพระพุทธศาสนา ซึ่งปรากฏว่า นักปราชญ์หลายท่านได้ออกมายืนยันว่า การกรวดน้ำมีในพระไตรปิฎก ยกศัพท์มาอ้างอิงว่า คือ ทักษิโณทก แปลว่า หลั่งน้ำ หรือกรวดน้ำ อันเป็นที่มาของประเพณีกรวดน้ำรับพรของชาวพุทธไทยมาแต่สมัยโบราณ
นั่นชัดเจนว่า พระต้น พยายามอ้างอิงหลักฐานพระไตรปิฎก นำมาลบล้างประเพณีไทย ด้อยค่าคณะสงฆ์ไทยว่าไม่มีความรู้ตรงตามพระไตรปิฎก ตนเองรู้มากกว่า แต่พอนำมาเทียบกันแล้ว กลับปรากฏว่า พระต้นเสียเองที่ไม่มีความรู้ในพระไตรปิฎกเลย อ้างอิงเอามั่ว ๆ ยิ่งบท “พุทโธ เม นาโถ ฯลฯ” ด้วยแล้ว ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะแม้แต่ ศ.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ ราชบัณฑิต ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของพระต้นและโครงการธรรมนาวาวัง ก็ยังออกมายืนยันว่า ไม่มีในพระไตรปิฎก และคำว่า “อันประเสริฐ” นั้น ก็พระต้นแปลเสริมเอาเอง เก่งกว่าเปรียญ 9
สรุปง่ายๆ ว่า
– ที่มีในพระไตรปิฎก พระต้นบอก ไม่มี
– ที่ไม่มีในพระไตรปิฎก พระต้นเอามาใช้แทนพระไตรปิฎก

แบบนี้เขาไม่เรียกว่าพระ หากแต่เรียกเป็น “เดียรถีย์” ปัญหามิใช่อยู่ที่ว่าพระต้นจะใช้อย่างไร แต่มันบานปลายไปถึงว่า พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ทรงมีพระราชศรัทธาในพระต้น ถึงกับทรงพระราชทานอุปถัมภ์โครงการธรรมนาวาวังอย่างออกหน้า ทั้งการพิมพ์หนังสือชุดธรรมนาวาวังเผยแพร่ไปทั่วประเทศ การจัดกิจกรรมธรรมนาวาวังอย่างต่อเนื่อง การนิมนต์พระต้นให้เป็นองค์แสดงพระธรรมเทศนาหน้าพระที่นั่งในพระบรมมหาราชวังถึง 2 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดก็คือ พระราชพิธีวิสาขบูชา ที่ผ่านมาสดๆ ร้อนๆ
และที่สำคัญก็คือ การที่ทรงมีพระราชปรารภเรื่อง คำบูชาสำหรับระลึกคุณพระรัตนตรัย เนื่องในโอกาสวันวิสาขบูชาโลก 11 พฤษภาคม พ.ศ.2568 ซึ่งทรงกราบทูลไปยังสมเด็จพระสังฆราช และสมเด็จพระสังฆราชก็โปรดอนุญาตให้นำเรียนกรรมการมหาเถรสมาคม “เป็นวาระพิเศษ-เร่งด่วน” จนกลายเป็นกระแสวิจารณ์ไปต่างๆ นานา
คำถามจึงมีว่า เหตุใด มหาเถรสมาคม ซึ่งมีพระสงฆ์คงแก่เรียนอยู่มากมาย จึงไม่ทำการตรวจสอบที่ไปที่มาของบทว่า “พุทโธ เม นาโถ ฯลฯ” ว่าต้องตามหลักฐานในพระไตรปิฎกหรือไม่ ก่อนจะยอมรับให้เป็นบทท่องของพระภิกษุสามเณรไปทั่วประเทศ รวมทั้งคำแปล ซึ่งไม่ตรงตามคำศัพท์ “พุทโธ เม นาโถ ฯลฯ” อีกด้วย


Leave a Reply