วันที่ 2 มิถุนายน 2568 หลังจากเพจ “Thebuddh” โพสต์คอลัมน์ “ริ้วผ้าเหลือง” เขียนโดย “เปรียญสิบ” ว่าด้วย การกลับมาของอดีตพระพรหมเมธี ที่ลี้ภัยอยู่ประเทศเยอรมนี มีแฟนเพจได้แสดงความคิดเห็นหลากหลาย โดยเฉพาะ “ปนัดดา นิยมศิริวนิช” ได้เสนอแนวคิดที่น่าสนใจที่คนในแวดวงคณะสงฆ์พูดกันหนาหูมากยิ่งขึ้นคือ “ศาลสงฆ์” โดย ปนัดดา นิยมศิริวนิช ได้แสดงความเห็นประเด็นสาธารณะดังกล่าวว่า
“ปัจจุบันพระดีที่ถูกกล่าวหาก็มีมาก พระไม่ดีที่ต้องจัดการก็มีอยู่ไม่น้อย ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ควรมีการจัดตั้ง “ศาลสงฆ์” เพื่อธำรงรักษาพระพุทธศาสนาและศรัทธาของพุทธศาสนิกชนไว้ไม่ให้เสื่อมทรุด
อย่างไรก็ตาม ปัญหามาตรา 29 พรบ.สงฆ์ การให้อำนาจกับเจ้าพนักงานสอบสวน สามารถใช้ดุลยพินิจไม่ให้ประกันตัวทำให้พระต้องสละสมณเพศเข้าเรือนจำ ก็สมควรต้องได้รับการปรับปรุงแก้ไขหรือไม่ เพราะอย่างไรก็มีความขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 29 วรรคสอง ที่ว่า ตราบใดที่ยังไม่พิสูจน์ให้สิ้นสงสัยว่ามีความผิด ก็ต้องถือว่าท่านยังเป็นผู้บริสุทธิ์ และจะปฏิบัติกับท่านเสมือนว่ากระทำความผิดแล้วไม่ได้นะ..”

ประเด็นเรื่อง “ศาลสงฆ์” ศาสตราจารย์ (พิเศษ) วิชา มหาคุณ ได้เคยแสดงทัศนะไว้เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2568 ในคราว มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้มีการจัดเสวนาทางวิชาการว่าด้วย “ศาลสงฆ์ โอกาสและความท้าทางของพระพุทธศาสนาและกระบวนการยุติธรรมไทย” จัดโดยนิสิตปริญญาเอก หลักสูตรสตินวัตกรรมและสันติศึกษาว่า คณะสงฆ์ไทยควรยกโมเดลศาล”ศาสนาคริสต์คาทอลิก” สร้างความมั่นคงและยั่งยืน ในการรักษาหลักคำสอนและความศรัทธา มาเป็นแบบอย่าง พร้อมกับกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า
“เราจะเห็นได้ว่าพระพุทธศาสนาบ้านเรา ปัจจุบันเกิดขึ้นหลายสำนัก ตีคำสอนของพระพุทธเจ้าไปต่าง ๆ นา ๆ ลูกศิษย์แต่ละสำนักก็เกิดความแตกแยก บางคนใส่ร้ายพระภิกษุ เจ้าสำนักตนไม่ชอบว่า ขาดจากความเป็นพระก็มี เรื่องความศรัทธาและศีลธรรม หลักคำสอนผิดหรือถูก บ้านเราไม่ค่อยให้ความสนใจเลย แนวทางของคริสต์ศาสนา เขาต้องการให้ศาสนาเขามีความมั่นคง เราจะเห็นว่าศาสนาเขาผ่านร้อนผ่านหนาวมาตั้งแต่ยุคโรมัน แต่ระบบสันตะปาปาของเขาไม่เคยเปลี่ยนเลย กระบวนการคัดเลือกคัดครองเขาก็มั่นคง องค์สันตะปาปา คัดเลือกใครมา ต้องผ่านสภาศรัทธาและศีลธรรมนี้เท่านั้น และ เหตุสำคัญที่ศริสต์ศาสนาจำเป็นต้องมีศาลศาสนานี้ เนื่องด้วยเหตุผล 3 ประการ คือ ประการที่หนึ่ง ตัดสินหรือวินิจฉัยคดีเฉพาะเรื่องวินัยของนักบวช เท่านั้น ประการที่สอง คดีที่เกี่ยวข้องกับความศรัทธาของผู้คน และประการที่สาม คดีปกครอง จะให้มันมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง กันไม่ได้เป็นอันขาด มันต้องจบโดยเร็ว ติดสินและวินิจฉัยโดยผู้มีความมั่นคงในด้านของศีล ด้านวินัย และระเบียบปฎิบัติ กระบวนการลงโทษของเขาใช้ การไกล่เกลี่ยเป็นหลัก และแก้ไขก่อน เป็นอันดับแรก โทษสูงสุดของศาสนาคริสต์ คือ การถอดถอนออกจากตำแหน่ง มิใช่การลงโทษทางอาญาตามกฎหมายทั่วไป ซึ่งเมื่อพ้นจากนักบวชแล้ว หากเป็นคดีอาญาทางโลกก็จะดำเนินการต่อไป..”


Leave a Reply